[HOW TO] ซื้อ ebook ญี่ปุ่นใน Kindle

พอดีเห็นว่ากระแส ebook ในไทยเริ่มมาแรง (ส่วนหนึ่งคงเพราะ COVID-19) เลยมาขอแนะนำ Kindle สุดรักของเราให้ฟังกัน

Kindle เป็นบริการ ebook ของ Amazon ซึ่งมีทั่วโลก เว็บก็มีทั้ง .com / .uk / .jp หนังสือ ebook ของ kindle เป็นไฟล์สกุล .mobi เมื่อซื้อแล้วเราสามารถอ่านได้ทุก platform เพียงล็อกอินเข้าในบัญชีที่เราซื้อ มีแอพทั้งในคอม ไอโฟน ไอแพด แดนดรอยด์ หรือใครอยากลงทุนซื้อเครื่อง ebook ของ Kindle มาใช้ก็ได้ (ขอบอกว่าดีมากกกกกกกกกกกกก รักมาก)

ข้อควรระวัง!!!
บัญชี amazon แยกกันหมด .com / .uk / .jp แต่แอพเป็นตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีบัญชีของ .com หรือ .uk อยู่แล้ว ตอนสมัคร .jp ต้องตั้งพาสเวิร์ดให้ไม่เหมือนกัน (เมล์เดียวกันได้)
★ ถ้าใครจะซื้อเครื่อง ebook reader ของ kindle ต้องศึกษาดีๆ เพราะมีบางรุ่นที่ล็อกรีเจียน และไม่สามารถล็อกอินบัญชีของประเทศอื่นได้ (เราพลาดมาแล้วจ้า ฝากเพื่อนซื้อจากอเมริกา สรุปล็อกอินบัญชีญี่ปุ่นไม่ได้)

มันฟังดูไม่ยุ่งยากใช่ไหม โหลดแอพ ล็อกอิน กดซื้อ จบ

แต่นี่คือญี่ปุ่น มันไม่ธรรมดาอย่างนั้นแน่นอน มันต้องมีความเยอะและเรื่องมากสารพัดอย่าง ไม่งั้นคงไม่มาเขียน How to ให้อ่านกัน

เริ่มกันเลยดีกว่า

  1. ขั้นแรกให้เข้าไปที่ http://www.amazon.co.jp/
  2. สมัครสมาชิก สามารถใส่ที่อยู่ของประเทศไทยได้
  3. เสร็จแล้วโหลดแอพ
    PC
    Android
    iOS
  4. โหลดเสร็จแล้วให้ล็อกอินด้วย e-mail กับรหัสของบัญชี amazon JP

เอาล่ะ กลับมาที่ความเยอะของแอพกัน….
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ amazon JP บล็อคไม่ให้ซื้อหนังสือจากนอกประเทศญี่ปุ่น
ความตลกคือ มันจะยืนยันแค่ครั้งแรกครั้งเดียวว่าเราอยู่ในญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็ซื้อได้ปกติ (เพื่ออะร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย)

เพราะฉะนั้น หนังสือเล่มแรกที่เราจะซื้อ ต้องซื้อจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ

ซึ่งวิธีที่เราแนะนำคือ
ฝากเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นล็อกอินไปกดซื้อให้ <— ชีวิตง่ายสบายสุด แต่เสร็จแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนพาสด้วย
ใส่ VPN ล็อกอินไปกดซื้อเอง — เลือก VPN อะไรก็ได้ตามสะดวกกันเลย มีสารพัดรูปแบบสารพัดวิธีไปเสิร์ชหากันได้ แบบง่ายที่สุดคือหาจาก extention ของ Google Chrome คือใส่ VPN ก่อนแล้วเข้าเว็บ http://www.amazon.co.jp/ ล็อกอิน แล้วก็กดซื้อ ก็จะกลายเป็นว่าเรากดซื้อจากประเทศญี่ปุ่น

หลังกดซื้อด้วยวิธีข้างบนแล้วให้เปิดแอพที่ลงไว้แล้วรอให้หนังสือที่เราซื้อขึ้น (ตรงนี้ไม่ต้องมี VPN แล้ว ใช้แค่ตอนกดซื้อพอ) กด download มาเพื่อลองว่าสำเร็จไหม ถ้าโหลดได้อ่านได้แปลว่าสำเร็จแล้ว หลังจากนี้สามารถกดซื้อและโหลดได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน VPN อีก

ถ้าเล่มแรกที่ต้องกดซื้อเพื่อหลอกมันว่าเราอยู่ญี่ปุ่นไม่รู้จะซื้ออะไรดีก็แนะนำให้กดๆ 0 เยนจากลิงก์นี้กันได้ค่ะ
https://amzn.to/3UzSzAP

หรืออยากซื้อหนังสืออื่นๆ ที่น่าสนใจ ขอแนะนำหน้านี้เลยค่ะ จะเป็นหน้ารวมหนังสือโปรโมชัน มีเปลี่ยนรายวันให้เลือกอ่านได้ตามความสนใจ
https://amzn.to/3KgLPDv

แถมเราสามารถดาวน์โหลดพจนานุกรมมาลงในแอพได้ด้วย พอลงแล้วมันจะลิงค์ให้เอง แค่ลากแถบที่คำที่เราอยากรู้ วิธีดาวน์โหลดคือลากแถบคำที่อยากรู้ความหมาย แล้วมันจะขึ้นเมนูให้ดาวน์โหลดพจนานุกรม มีหลายเล่มให้เลือก กดเลือกเล่มที่ต้องการ

จริงๆ ebook ญี่ปุ่นเนี่ยมีเยอะมากๆ เลยแหละ เราเองก็ลงไว้หลายแอพ แต่บริการเดียวที่กล้าจ่ายเงินคือ Kindle เพราะบริษัทน่าเชื่อถือจนมั่นใจว่าหนังสือที่ซื้อไว้คงไม่หายไปดื้อๆ ส่วนเจ้าอื่นเรายังไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ อีกอย่างอ่านหนังสือภาษาอังกฤษด้วย (ซื้อจากใน .jp นี่แหละ) เลยรู้สึกว่ามันสบายดีรวมทุกอย่างไว้ที่เดียว เพิ่มเติมคือรัก Kindle Paperwhite สุดใจ เลยเสียเงินให้แต่ kindle เนี่ยแหละ… ถ้าใช้ประจำจะพอเดาจังหวะได้ว่าหนังสือจะลดราคา หรือมีแคมเปญอะไรเมื่อไหร่ อันนี้ขอเชิญทุกท่านไปส่องไปเล็งกันได้ตามอัธยาศัย

รีวิวชีวิต 10 ปี จาก 2010 – 2020

ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราและโลกเราตอนนี้มันชวนให้สิ้นหวัง และย้อนกลับไปคิดทบทวนคำว่าชีวิตไม่แน่นอนแทบจะวันละสามเวลา แม้แต่เราที่คิดว่าตัวเองมีชีวิตราบเรียบไม่โลดโผนมาทั้งชีวิตพอมองย้อนกลับไป และมองปัจจุบันก็เกิดสงสัยว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เราไม่ได้เขียนไดอารี่แล้ว จะมีก็แต่เพ้อเจ้อในทวิตเตอร์ไปวันๆ แต่ก็อยากจะบันทึกชีวิตช่วงนี้และชีวิตสิบปีที่ผ่านมาทิ้งเอาไว้

นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา

เราได้ไปต่างประเทศครั้งแรก

เรามีแฟนคนแรก…และเลิกกับแฟนเป็นครั้งแรก และอาจจะเป็นครั้งเดียว

เราเริ่มทำงานที่ใฝ่ฝันมาตลอด คือแปลหนังสือ

เราเรียนจบ เราได้เงินเดือนก้อนแรก

เราได้ทำรายการยูทูบกับเพื่อนตั้งแต่ยังไม่มีศัพท์คำว่า YouTuber ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตนี้จะมาทำ…จากเด็กที่เกลียดทั้งพรีเซนต์งานและเล่นละคร และทุกอย่างที่ต้องออกเบื้องหน้า

เรายื่นภาษีเป็นครั้งแรก และซื้อกองทุนเป็นครั้งแรก

เราผ่านรัฐประหารครั้งที่สามในชีวิต

เป็น 10 ปีที่เมืองไทยมีอีเวนท์อนิเม-อนิซอง เยอะมากๆๆๆๆๆ มากจนตามแทบไม่หวาดไม่ไหว ทุกครั้งที่ไปก็สงสัยว่านี่ฝันหรือเรื่องจริง ชีวิตโอตาคุได้รับการเติมเต็ม

แถมยังได้เป็นล่ามให้นักร้องคนหนึ่งด้วยแบบงงๆ

แถมยังได้บินไปร่วมอีเวนท์ที่ญี่ปุ่นอีกหลายครั้ง

พ่อเราป่วย อาการทรุด และเสียชีวิต…

หมาที่เหมือนน้องชายเราป่วยหนักตามอายุ อาการแย่ลงเรื่อยๆ และถึงขั้นต้องดูแลเกือบ 24 ชั่วโมงอยู่เป็นปีๆ แล้วมันก็จากครอบครัวเราไปอีกคน

เราตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศครั้งแรกแม้จะระยะสั้นไม่กี่เดือน

และเป็นสาเหตุให้เราได้งานระยะยาวอยู่ที่ญี่ปุ่น อยู่ในบริษัทที่มีคนไทยคนเดียว กับเมืองที่ทั้งเมืองมีคนไทยแค่สองคน อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรกในชีวิตคนที่ไม่เคยแม้แต่อยู่หอ อยู่ได้ไม่นานก็เจอแผ่นดินไหว ได้มีเพื่อนต่างชาติหลายชาติ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำเยอะแยะมากมาย ทั้งขี่จักรยานทางไกล ขึ้นเขาลงเนิน ไปจนถึงเล่นสกี

เราตัดสินใจย้ายงานเพราะสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่ไทยทำให้เปลี่ยนแผนที่ตั้งใจจะอยู่ญี่ปุ่นแค่ 2-3 ปีเป็นไม่มีกำหนด จึงหางานที่จะทำได้ในระยะยาว

ปี 2020 เริ่มต้นด้วยโรคระบาดที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว

ก่อนเราย้ายงาน เกิดโรคระบาดที่จีน และระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยงานของเราต้องเจอคนจีนที่บินมาจากจีนระยะประชิดทุกวัน ที่ทำงานจึงตัดสินใจใส่หน้ากากและวางแอลกอฮอลล์ฆ่าเชื้อไว้รอบๆ ตั้งแต่ต้นปี เราเองก็ใส่หน้ากากตลอดมาตั้งแต่ช่วงนั้นแม้จะโดนมองด้วยสายตาประหลาดเวลาไปไหน

หลังย้ายมาสถานการณ์แย่ขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำงานต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาที่เข้าบริษัท กลัวไปหมด รถไฟไม่อยากขึ้น ร้านอาหารไม่กล้าเข้า กลัวไปหมด จนในที่สุดสถานการณ์ก็เลวร้ายจนถึงขั้นต้องแบกคอม (ไม่ใช่โน้ตบุ๊ค เดสท็อปพร้อมจอใหญ่ๆ อีก 2 จอ) มาต่อทำงานที่บ้านนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว

รู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนหนัง เหมือนเรื่องกลายตัว บางทีก็งงๆ ว่าเราอยู่ที่ไหนกำลังทำอะไรอยู่ บ้านใหม่ยังไม่คุ้นแต่ก็ออกข้างนอกแทบไม่ได้ รู้สึกสับสนจนต้องมาเขียนบล็อกนี้ทิ้งไว้นี่แหละ ถือว่าได้บันทึกให้ตัวเองรู้ว่าเมื่อปี 2020 เกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง

เราเชื่อว่าไม่ใช่แค่เรา แต่คงไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ได้แต่มองโลกในแง่ดีไปอย่างน้อยเราก็ยังไม่ป่วย และเรายังมีงานทำ มีรายได้ ซึ่งก็ต้องนั่งคิดต่อไปอีกว่าจะช่วยคนที่ลำบากยังไงเพราะเราคงไม่สามารถให้ความช่วยเหลือโลกได้มากไปกว่านั้น

เราได้ยินตั้งแต่เด็กจนโตว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
และเวลา 5 ปี (ไม่ต้องถึงสิบปีหรอก) ที่ผ่านมาก็ย้ำเตือนเราตลอดเวลา

ฃคนใช้คำว่า New Normal กันเยอะแยะเต็มไปหมดแต่เรากลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบัญญัติคำแบบนี้ขึ้นมาหรอก เพราะมันไม่ใช่ Normal และไม่มีอะไรที่เป็น Normal อีกต่อไปแล้ว…

เขียนมาซะยาว เหมือนจะเจอเรื่องไม่ดีเยอะ แต่เรายังพอใจกับชีวิตอยู่ระดับนึง ยังพยายามที่จะมีความสุขกับมันเท่าที่ทำได้อยู่

บันทึกเอาไว้ หลังจากนี้เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเราจะได้กลับมาย้อนอ่านคำของตัวเองแล้วเลิกโวยวายทุกครั้งสักที