Kioku Shoten Utakata-dou no Tantan : รวมเรื่องสั้นของร้านหนังสือความทรงจำอุตะคาตะโด

No photo description available.

หนึ่งใน 3 เล่มจากอ.โนมุระที่ออกมาเกือบพร้อมกัน แต่เล่มนี้ไปออกกับอีกสนพ. ไม่มีภาพประกอบ ไม่มีภาพการ์ตูนน่ารัก เป็นนิยายที่ไม่ใช่ไลท์โนเวล รวมเรื่องสั้นๆ ของลูกค้า Utakata-Dou ร้านรับซื้อ-ขายความทรงจำของเด็กหนุ่มหน้าสวยผู้มีผมดำขลับ ดวงตาข้างหนึ่งสีเงิน อีกข้างสีทอง อุทสึสึโนะ อิจิยะ

อิจิยะจะบอกว่าความทรงจำเปรียบเหมือนหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของคนแต่ละคนเอาไว้ และเขาสามารถดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาได้ เขียนใหม่ได้ ลบได้ เปลี่ยนแปลงได้

อิจิยะสามารถดึงความทรงจำออกจากคน แล้วใส่มันเข้าไปในตัวคนอื่น ทั้งยังปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย เมื่อถูกลบความทรงจำคนจะลืมเรื่องนั้นไป แต่หากลบมากเกินไปจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ และเมื่อลบหายจนหมดก็จะมีผลต่อชีวิต ส่วนคนที่ใส่ความทรงจำเข้าไปก็จะรับรู้เหมือนผ่านประสบการณ์นั้นมาด้วยตัวเอง

ลูกค้าของอิจิยะมีหลากหลาย เขาจะเตือนทุกคนก่อนลงมือทุกครั้งถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่หากลูกค้ายังยืนยันที่จะให้ลงมือเขาก็ทำโดยไม่ปฏิเสธเช่นกัน แม้ผลนั้นจะส่งผลต่อชีวิตของคนมากกว่าหนึ่งคนก็ตาม

ค่าตอบแทนที่อิจิยะรับมีสองอย่างคือ เงิน หรือความทรงจำของผู้ว่าจ้าง

สำนวนในหนังสือต่างจากไลท์โนเวลมาก แต่ตัวพระเอกเหมือนตัวแทนแห่งความจูนิเบียว ตาสองข้างคนละสี เสกหนังสือออกมาร่ายคาถาประหลาดๆ ใช้พลังพิเศษได้ (ฮา)

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องสั้นที่ไม่ค่อยเกี่ยวกันและไม่ได้เรียงตามลำดับเวลาเป๊ะๆ
แต่ก็พอจะเห็นลำดับได้อยู่ว่าเรื่องไหนเกิดก่อนเกิดหลัง
และเห็นความเป็นมนุษย์ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในตัวอุทสึสึโนะ อิจิยะ

เดิมเขาเป็นคนที่แทบไม่มีความทรงจำอะไรนอกจากเรื่องที่ต้องใช้เมื่อมีชีวิตต่อไป
เพราะไม่มีความทรงจำจึงไม่มีอารมณ์ความรู้สึก
เขาไม่ทำอะไรตามอารมณ์หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งสิ้น

แต่เมื่อได้พบกับลูกค้าหลากหลายคนที่มีปัญหาชีวิตต่างกันออกไปมาขอความช่วยเหลือจากเขา หัวใจของอิจิยะก็ค่อยๆ เปิด อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นในตัวของเขา

เรื่องสั้นๆ อ่านเพลินทุกเรื่อง มีหลากหลายแนวตั้งแต่อึมครึม น้ำเน่า ไปจนถึงฮาร์ทฟูลอบอุ่นหัวใจ รู้ตัวอีกทีจบซะแล้ว เป็นอีกเรื่องที่อยากให้เข้าไทยจังเลย สำนักพิมพ์ไหนผ่านมาเป็นบล็อกนี้แล้วสนใจซื้อลิขสิทธิ์ทีค่ะ ถ้าติดต่อมาให้แปลด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง

★☆★☆สปอยด์ที่หน้า 2★☆★☆

Musubu to Hon ‘Gekashisu’ :มุสุบุกับเหล่าหนังสือ “ห้องผ่าตัด”

เอโนคิ มุสุบุ เด็กหนุ่มหน้าใส่แว่นหน้าจืดที่มีความลับอย่างหนึ่งคือได้ยินเสียงและพูดคุยกับหนังสือได้ แถมยังมีคนรักสุดขึ้หึงเป็นหนังสืออีกต่างหาก

เล่มแรกของนี้ออกแนวอินโทรแนะนำให้รู้จักตัวละคร และรู้นิสัยของมุสุบุว่าถึงจะเห็นเป็นคนติ๋มๆ ขี้กลัว แต่จริงๆ แล้วเป็นคนยึดมั่นใจความคิดของตัวเองและพร้อมทำทุกอย่างเพื่อช่วยหนังสือรวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับมัน

ไม่แน่ใจว่าเล่มต่อไปจะเหมือนเดิมไหม แต่ในเล่มนี้ประกอบด้วยตอนสั้นๆ หลายตอนหลากหลายอารมณ์ ตั้งแต่ซาบซึ้ง จิตๆ ติดตลก ไปจนถึงรักน้ำเน่า ซึ่งอ่านได้ไม่เบื่อ แต่ก็แอบผิดหวังนิดหน่อยกับงานที่ห่างหายไป 3-4 ปีของอาจารย์โนมุระ จนแอบหวังว่าเล่มต่อไปจะเข้าเรื่องหลักบ้าง ไม่ใช่รวมเรื่องสั้นแบบนี้ ขอเถอะค่ะะะะะ

เรื่องที่กลายมาเป็นชื่อเล่มคือ Gekashitsu (ห้องผ่าตัด) ของ Izumi Kyoka เนื้อเรื่องของ “ห้องผ่าตัด” คือมีหญิงสาวสูงศักดิ์ (แน่นอนว่าแต่งงานแล้ว) คนหนึ่งต้องผ่าตัดแต่ปฏิเสธรับยาสลบเพราะกลัวจะเผลอละเมอพูดความลับออกมา ความลับนั้นคือการที่ตนแอบหลงรักหมอซึ่งผ่าตัดให้ในครั้งนี้ตั้งแต่เดินสวนกันเมื่อ 9 ปีก่อน หญิงสาวคว้ามือหมอที่ถือมีดผ่าตัดแทงอกตัวเองพร้อมพูดว่าคุณไม่รู้จักฉันหรอก แต่หมอผ่าตัดกลับตอบไปว่า “จะไม่มีวันลืม” หญิงสาวเสียชีวิตในห้องผ่าตัด ส่วนหมอที่ผ่านตัดก็เสียชีวิตตามในวันเดียวกัน… เนื้อเรื่องมันก็แอบข้างหลังภาพหน่อยๆ แต่กุโร่ยมากกว่า หญิงสูงศักดิ์กับนักศึกษา ความรักไม่สมหวังจนวันตาย

หนังสือหนังสือรวมเรื่องสั้นเรื่อง “ห้องผ่าตัด” เป็นบุคลิกของหญิงสาวสูงศักดิ์ หลงรักนักศึกษาชายคนหนึ่งที่ยืมเธอกลับบ้านไปอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าแถมยังกอดแนบแน่น พาขึ้นเตียงนอนเป็นเวลาหนึ่งปี แต่แท้จริงแล้วนักศึกษาชายไม่ได้หลงรักหนังสือ เขาหลงรักบรรณารักษ์สาวที่เคยอ่านเรื่อง “ห้องผ่าตัด” ในห้องสมุดแห่งนั้นเมื่อสมัยเขายังเป็นเด็กประถม และสัญญากับเธอว่าเมื่อโตขึ้นจนเข้าใจเรื่องราวได้จะอ่านเรื่องนี้อีกครั้ง บรรณารักษ์สาวยังคงทำงานอยู่ในห้องสมุดที่เดิม นักศึกษาชายจึงมายืมหนังสือเล่มนั้นที่เธอเคยอ่านจากห้องสมุดที่เธอทำงานกลับไปที่บ้านทุกสัปดาห์…

(สปอยด์)
บรรณารักษ์สาวมีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงาน แต่มุสุบุก็ยังพยายามบอกให้นักศึกษาชายบอกรักเธอจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาอีก เขาตัดสินใจจัดงานร่วมกันอ่านหนังสือเรื่อง “ห้องผ่าตัด” (ญี่ปุ่นมีงานอะไรแบบนี้ คือเอาหนังสือมาอ่านคนละหน้าสองหน้าจนครบแล้วมานั่งวิเคราะห์เรื่องด้วยกัน) และชวนทั้งคู่มาร่วมงาน จึงได้รู้ว่าบรรณารักษ์เองก็จำเด็กประถมที่ตนเคยคุยด้วยคนนั้นได้แถมยังหลงรักเขาอีกด้วย แต่พยายามเมินความรู้สึกนั้นของตนเพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้…นักศึกษาชายได้อารมณ์พาไป จากสารภาพรักกลายเป็นขอเธอแต่งงานเสียนี่

มุสุบุรับบทหนักในการตัดสินใจทุกครั้ง เขาอยากช่วยเหลือหนังสือ แต่ก็อดห่วงความรู้สึกของผู้คนไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไม่ว่ามุสุบุจะตัดสินใจทำอะไรย่อมมีคนหรือหนังสือที่ได้ผลกระทบ ความรักของทั้งคู่สมหวังหนังสือเรื่อง “ห้องผ่าตัด” ก็ต้องอกหัก และคู่หมั้นของบรรณารักษ์ต้องเสียใจอย่างแน่นอน ถ้าเลือกชีวิตปัจจุบันความรักของทั้งคู่ก็จะไม่มีวันสมหวัง และบรรณารักษ์ก็คงไม่มีวันยอมสารภาพว่าตนหลงรักนักศึกษาที่อายุน้อยกว่าเกือบสิบปี

คอนเซ็ปต์(?) ของเรื่องคือความทรงจำ ความคิด และความรู้สึกของหนังสือซึ่งไร้ที่พึ่งพิงอื่นนอกจากมุสุบุซึ่งเป็นมนุษย์คนเดียวที่ฟังคำพูดของพวกเขาออก มุสุบุที่ทุ่มเทช่วยเหลือพวกเขาแต่ต้องคอยเป็นห่วงความรู้สึกของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเหล่านั้นด้วย

เนื้อเรื่องเกิดที่โรงเรียนเซโจกาคุอิน หรือโรงเรียนเดียวกับเรื่องบุงกะคุโชโจนั่นแหละ ฮิเมคุระ ฮารุโตะคือลูกชายคนโตของฮิเมคุระ มากิซึ่งปัจจุบันเป็นผ.อ.โรงเรียนแล้ว พ่อของฮารุโตะคือริวโตะ น้องชายของโทโอโกะเซ็มไป แต่ว่าทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานกัน มากิแต่งงานกับคนอื่น มีลูกด้วยกันแต่ตอนหลังสามีตาย ส่วนริวโตะก็แต่งงานกับคนอื่นและมีลูกแฝดอีกสองคน ฮารุโตะสนิทกับทั้งสองบ้านรวมถึงโทโอโกะเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้ความลับของโทโอโกะอีกด้วย

มีความเชื่อมโยงระหว่างสองเรื่องให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดนิดๆ หน่อยๆ แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่าแล้วถ้าคนคุยกับหนังสือได้เจอกับคนกินหนังสือจะเป็นยังไง… มุสุบุจะต้องฟังเสียงหนังสือกรีดร้องตอนค่อยๆ โดนฉีกแล้วเคี้ยวทีละนิดแบบนี้เหรอ คิดแล้วรู้สึกโหดกว่าไททันอีก จะดีเหรอคะ… แต่ถ้าสองคนไม่ได้เจอกันเลยก็รู้สึกเสียดายอีกที่อุตส่าห์เขียนให้เนื้อเรื่องต่อกันมาตั้งขนาดนี้

อาจารย์โนมุระวางปมเอาไว้เพียบ… โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับโยนากะฮิเมะ คน(หนังสือ)รักของมุสุบุ กับเรื่องการพบกันของมุสุบุกับฮารุโตะ หวังว่าเล่มสองจะเข้าเรื่องหลักมากกว่านี้ และหวังว่าจะไม่โดนตัดจบเหมือนคิวเค็ทสึกิ (สาธุ)

แต่ถ้าถามว่าเล่มนี้เป็นยังไงก็แอบลำบากใจที่จะตอบว่าสู้ซีรีย์ที่ผ่านๆ มาไม่ได้เลย ขอลุ้นให้เล่มต่อไปเข้าประเด็นอะไรบ้างเถอะ…

ใครที่ยังลังเลว่าจะอ่านเรื่องนี้ดีไหมลองไปฟังบทแรก (ปิ๊ปปี้ถุงเท้ายาว) ได้ที่ https://soundcloud.com/kimirano/sets/l64kw60t5bas เป็นช่องของ official ที่อ่านบทแรกทั้งบทให้ฟังแบบฟรีๆ!!

[Review] LN Kakuriyo no Yadomeshi เล่นอวสาน

ผ่านมาสามปีกว่าแล้วนับจากเอนทรี [Review] LN Kakuriyo no Yadomeshi

หลังจากได้ทำเป็นอนิเมและละครเวที ในที่สุด Kakuriyo no Yadomeshi ก็จบแล้วค่ะ *ปรบมือ* เนื่องจากรายละเอียดระหว่างทางเล่ม 2-9 มันเยอะมากกกกก จึงขออนุญาตข้ามๆ ไป… ใครสนใจกรุณาไปดูอนิเม ในช่องทางที่ถูกลิขสิทธิ์ เพื่อเขาจะได้ทำภาคต่อให้ดูกันนะคะ

สำหรับใครไม่ได้อยากรู้เนื้อเรื่องครึ่งหลังอันซับซ้อน อยากรู้แค่ปริศนาที่โผล่มาครึ่งแรก (ในอนิเม) ข้ามไปอ่านครึ่งหลังได้เลยค่ะ (หน้า 2 นะคะ แบบว่า…อยากจะลองฟังก์ชันใหม่ๆ)

Image result for かくりよの宿飯 十

มาเล่าเรื่องหลักเล่มสุดท้ายนี้กันดีกว่า…
หลังผ่านสารพัดอุปสรรคขวากหนามมากมาย อาโอยก็รู้สึกตัวสักทีว่าเธอชอบนายใหญ่แห่งเทนจิน แต่พออาโอยรู้ตัว นายใหญ่กลับเล่นตัวซะอย่างนั้น ถามชอบกินอะไรก็ไม่ตอบ ถามชื่ออะไรก็ไม่ยอมบอก ได้แต่บอกให้อาโอยค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

อาโอยเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้เกิดเหตุให้นายใหญ่ต้องคอยไปช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ในเหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ เธอกลับเป็นคนที่ไปช่วยนายใหญ่ให้รอดพ้นชีวิตมาได้

ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ตอนอาโอยไปช่วย ต้องย้อนไปก่อนว่าโลกในเรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงสองโลกคือคาคุริโยะ(โลกวิญญาณ) กับอุทสึชิโยะ(โลกเบื้องหน้า) แต่มีโทโคโยะ(ปรภพ) อยู่ด้วย

ในอดีตภูติพรายอาศัยอยู่ในโทโคโยะ แต่เกิดมีจิตชั่ว (จะคิ) รั่วไหลออกมา และเมื่อภูติพรายรับมันเข้าไปจะเสียสติ เมื่อจะคิรั่วไหลทั่วโทโคโยะไปหมดพวกเขาจึงตัดสินใจย้ายมายังคาคุริโยะ ซึ่งตอนนั้นครอบครองโดยอสูรเซ็คคิ อสูรเซ็คคิมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถดูดซึมจะคิได้ เหมือนช่วยกรองมลพิษ… แต่แล้วราชวงศ์กลับไปขุดค้นทำวิจัยชั้นใต้ดินลึกเกินไปจนทะลุแล้วจิตชั่วหลุดรอดออกมาถึงคาคุริโยะ ด้วยความกลัวว่าจะเกิดเหตุให้ผู้คนอยู่ไม่ได้เหมือนสมัยโทโคโยะ พวกเขาจึงนำเหล่าเซ็คคิมาฝังทั้งเป็นลงในวงกตใต้ดินเพื่อใช้ให้ดูดเอาจิตชั่วเหล่านั้นไม่ให้หลุดรอดออกมายังพื้นดิน เมื่อดูดกลืนเอาจิตชั่วเข้าไปมากๆ จะสูญเสียจิตสำนึกและบ้าคลั่ง ซึ่งภูติพรายเรียกชื่ออสูรบ้าคลั่งเหล่านั้นว่า อสูรจะคิ

นานทีปีหนจะมีอสูรจะคิหลุดออกมาอาละวาดฆ่าฟันผู้คนสร้างความหวาดกลัวให้แก่ภูติพราย เหล่าภูติพรายรุ่นใหม่ไม่เคยรู้จักตัวตนของเซ็คคิ ต่างหวาดกลัวจะคิ และมองว่าเป็นความชั่วร้ายที่ต้องกำจัด นายใหญ่แห่งเทนจินยะซึ่งเป็นเซ็คคิตนสุดท้ายที่โอกงโดฉิไปช่วยออกมาและเฝ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จึงปิดบังตัวตนแท้จริงมาโดยตลอด

ทว่า จิตชั่วเริ่มเล็ดรอดออกมามากยิ่งใหญ่ ราชสำนักจึงพยายามหาทางแก้ไข และข้อเสนอที่ไรจูนำไปเป่าหูพระจักรพรรดิแห่งคาคุริโยะก็คือ ให้นำนายใหญ่แห่งเทนจินยะไปฝังเพื่อดูดซับจะคิไม่ให้ออกมายังผิวดิน จักรพรรดิผู้เชื่อไรจูซึ่งเป็นภูติพรายยุคโบราณอพยพมาจากโทโคโยะจึงยอมเชื่อและทำตาม โดยนำนายใหญ่ไปขังที่คุกวงกตใต้ดิน เดือดร้อนเจ้าสาวอสูรอาโอย (ฮา) ต้องใช้อาหารที่ถนัดสร้างมิตรภาพหาพวกให้สภาโหวตไม่เห็นด้วยกับการฝังนายใหญ่ สภาฮาจิโยมีทั้งหมด 8 ตนตามชื่อ

หลังผูกมิตรเสร็จเรียบร้อย เบียคุยะและกิงจิเข้าไปประชุมแทนนายใหญ่ซึ่งโดนจับอยู่ ส่วนอาโอยได้ความช่วยเหลือจากผู้คนมากมายบุกลงคุกใต้ดินนำข้าวกล่องฟื้นพลังไปให้ และช่วยเหลือนายใหญ่ออกมา

เมื่อช่วยออกมาได้ นายใหญ่กับอาโอยบุกเข้าไปกลางที่ประชุม ก่อนนายใหญ่จะประกาศว่าถึงฝังตนไว้ก็ช่วยคาคุริโยะได้เพียงไม่กี่ปี เพราะเขาได้มอบดวงจิตซึ่งเปรียบดั่งชีวิตของเซ็คคิให้อาโอยแล้วเมื่อตอนอาโอยยังเด็ก เพื่อทำลายคำสาปของราชันย์แห่งปรโลกที่ได้สาปแช่งคนรอบตัวสึบากิ ชิโร่เอาไว้ และตอนนี้เขาอยู่ได้อีกไม่นานด้วยดวงจิตเทียม แต่เขาก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะศูนย์วิจัยเทนจินยะได้ทดลองและพัฒนาอนเซ็นมีฤทธิ์ช่วยขจัดจิตชั่วได้มาโดยตลอด และในที่สุดก็สำเร็จออกมาได้แล้ว พร้อมนำหลอดยาออกมาเทพิสูจน์ให้ดู (แหม…ไม่ว่างอ่านมานาน มาได้อ่านตรงสถานการณ์พอดีเป๊ะ)

เหตุการณ์ทั้งหลายผ่านมาด้วยดี เทนจินยะแม้เสียชื่อเสียงไปมากเพราะความจริงที่ว่านายใหญ่เป็นอสูรก็กลับมาเปิดอีกครั้ง อาโอยกลับไปเปิดร้านยูกาโอะต่อ แต่นายใหญ่กลับมาเล่าความจริงให้ฟัง (รายละเอียดอยู่ในครึ่งหลัง) และแนะนำให้อาโอยกลับไปเรียนมหา’ลัยให้จบค่อยกลับมาคาคุริโยะอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างเรียน ทุกครั้งที่มีหยุดยาว ปิดเทอม นายใหญ่จะไปรับอาโอยมายังคาคุริโยะ และอาโอยก็จะซื้อของจากอุทสึชิโยะมามากมาย นำไปทำอาหารที่ยูกาโอะ ส่วนยูกาโอะได้ไอจัง (ลูกไฟวิญญาณของนายใหญ่ที่ผสมกับจิตของอาโอยจนได้ร่างขึ้นมา) กับกินจิช่วยกันดูแล มีอาโอยกลับมาทำร้านชั่วคราวเป็นครั้งคราวตลอดเวลา 3 ปี

ใครสนใจอ่านขอเชิญที่ https://amzn.to/3UDDjTt

ส่วนใครไม่อ่านแล้ว แต่ขออ่านเฉลยให้หายข้องใจกดไปต่อหน้า 2 เลยค่ะ

[Review] LN Kakuriyo no Yadomeshi

หนังสือลดราคาจาก Kadokawa Matsuri อีกเล่ม

จริงๆ ออกมาแล้ว 4 และเล่ม 5 กำลังจะออก

แต่เพิ่งอ่านไปเล่มเดียว แถมยังซื้อไม่ครบด้วย อ่านแล้วติดใจ เล่มเดียวก็ได้ ขอมาอัพสักหน่อย

kakuriyo_01

เรื่องย่อ [สปอยด์]

เรื่องเริ่มต้นที่ฉากงานศพของสึบากิ ชิโร่ บรรยายโอย สึบากิ อาโอย ผู้เป็นหลานสาว

ชิโร่เป็นคนอยู่ไม่ติดที่ เพลย์บอย รักสนุก ไม่คิดหน้าคิดหลัง และมีลูกหลานอยู่ทั่วไปหมด แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขารับมาเลี้ยงคืออาโอย

อาโอยโดนแม่แท้ๆ ทิ้งไว้ จนกระทั่งมีคนช่วยให้ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้ชิโร่รับมาเลี้ยงในภายหลัง
เธอและชิโร่มีพลังพิเศษ คือมองเห็นภูตพรายได้ และมีพลังวิญญาณสูง จนทำให้โดนปองร้ายอยู่บ่อยๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากการโดนปองร้ายได้คืออาหารนั่นเอง เธอให้อาหารแก่เหล่าภูติพราย เพื่อไม่ให้พวกเขามาทำร้ายเธอ

วันหนึ่งหลังชิโร่เสียชีวิตไม่นาน อาโอยซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง เดินทางไปเรียนตามปกติ ผ่านย่านร้านค้า เดินลัดศาลเจ้า แต่ปรากฏว่าเธอเจอภูติพรายตนหนึ่ง ใส่หน้ากากยักษ์ นั่งอยู่ที่บันไดศาลเจ้า ปากบ่นพึมพำว่าหิว จึงตัดสินใจยกข้าวกล่องของเธอให้เขาไป พร้อมบอกให้ทิ้งกล่องข้าวไว้เพราะตอนเย็นจะมาเก็บกลับ เมื่อมาตอนเย็นปรากฏว่าไม่เจอกล่องข้าว ไม่เจอภูติพรายตนนั้น แต่เจอห่อผ้า มีปิ่นปักผมรูปดอกสึบากิเสียบเอาไว้ เมื่อหยิบปิ่นออกและคลี่ห่อผ้า จู่ๆ โลกหมุน และสึบากิ อาโอย ก็ไปอยู่ในคฤหาสน์แบบญี่ปุ่น รายล้อมด้วยภูติพรายจำนวนมากมาย ทุกคนล้วนแต่ใส่หน้ากาก

นายใหญ่ ยักษ์ผมดำในชุดกิโมโนดำ ภูติพรายซึ่งกินอาหารเธอเมื่อตอนเช้าปรากฏตัวขึ้นและบอกว่าเธอเป็นเจ้าสาวของเขา เพราะชิโร่ติดหนี้โรงแรม “เทนจินยะ” ซึ่งตนเป็นเจ้าของอยู่นับเป็นเงินญี่ปุ่นได้หนึ่งร้อยล้าน และเขียนหนังสือสัญญาว่าจะยกหลานสาวให้เพื่อชดเชยหนี้ ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะขอทวงสัญญานั้น

แต่ภูติพรายตนอื่นซึ่งมีตำแหน่งสูงในเทนจินยะต่างประท้วงกันยกใหญ่ เพราะไม่ชอบใจที่นายของตนจะแต่งงานกับมนุษย์ แถมมนุษย์คนนั้นยังเป็นหลานสาวของ สึบากิ ชิโร่ ชายผู้เคยสร้างความเดือดร้อนสาหัสให้แก่เทนจินยะมาก่อนด้วย

หลังเจรจากันยืดยาว อาโอยเสนอว่าขอตนทำงานเพื่อใช้หนี้ แทนที่จะแต่งงาน ซึ่งนายใหญ่ก็ยอม แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำงานในเทนจินยะ โดยให้ไปหาเอาเองว่าตรงไหนขาดคนและต้องการความช่วยเหลือบ้าง แต่ทุกฝ่ายไม่มีใครชอบใจมนุษย์ อาโอยโซไปเซมา เดินตามตรอกเข้าไปถึงเรือนแยกรกร้างของเทนจินยะ กระทั่งเจอกับกิงจิ จิ้งจอกก้าวหางนายน้อยแห่งเทนจินยะ เขาเล่าให้ฟังว่าเดิมทีเรือนแยกเปิดร้านอาหาร แต่เจ๊งมาหลายกิจการ จนร้านล่าสุดแม่ครัวก็ป่วยจนต้องปิดร้านอย่างที่เห็น เพิ่งไม่กี่วันเท่านั้น และยังเหลือเครื่องปรุงอยู่เลย

อาโอยได้ยินแบบนั้น ด้วยความหิว และจิตวิญญาณแม่ครัวซึ่งได้รับการสอนสั่งมาจากชิโร่ เธออาสาทำอาหารมื้อนั้นให้แก่กิงจิทันที โดยกิงจิรีเควสท์ว่าอยากกินออมไรซ์ เพราะเคยได้ยินชื่อ และได้ยินว่ามันคล้ายกับอินาริซูชิ (ข้าวซูชิห่อด้วยเต้าหู้ทอดปรุงรสหวาน) นอกจากนี้ยังสอนเรื่องต่างๆ ในครัวเนื่องจากอุปกรณ์แตกต่างจากโลกจริง แต่ก็สะดวกสบายด้วยพลังเวทมนตร์ จนทำออกมาได้สำเร็จ เมื่อกินแล้วกิงจิบอกว่าอาหารของอาโอยเป็นรสแบบที่ภูติพรายชอบ คือรสอ่อน และออกหวาน แต่อาโอยบอกว่าที่เธอทำรสชาติแบบนี้ก็เพราะปู่ชอบนั่นเอง

ในระหว่างสงสัยในตัวปู่ว่ารับตนมาเลี้ยงโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้หนี้นายใหญ่แห่งเทนจินยะเฉยๆ อย่างนั้นหรือ อาโอยได้พบกับคนรู้จักเก่าแก่ของชิโร่หลายคน ทั้งผู้เฒ่าเผ่าเทนงูที่เคยได้ชิโร่ช่วยชีวิต และยังได้อาโอยช่วยชีวิตอีกต่อ จนมอบพัดแปดแฉกของเทนงูให้แก่เธอ ทั้งยังมีปีศาจแมงมุมสองพี่น้อง ซึ่งได้ชิโร่ช่วยชีวิต เลี้ยงดู สอนเรื่องต่างๆ แล้วยังพาข้ามโลกอุทสึชิโยะ(โลกมนุษย์) มายังคาคุริโยะ(โลกภูติพราย) อีกด้วย

เรื่องที่ทุกคนเล่าเกี่ยวกับปู่ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่าพูดถึงสึบากิ ชิโร่ ที่เธอรู้จัก มีเพียงเรื่องเดียวที่ผิดปกติ เพราะทุกคนบอกว่าชิโร่ชอบอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม แต่เขากลับบอกและสอนอาโอยให้ทำอาหารรสอ่อน ออกหวาน อย่างที่ภูติพรายชอบ จนคิดได้ว่า บางทีปู่ของเธออาจต้องการให้อาโอยใช้อาหารเป็นอาวุธป้องกันภัย เพราะในความเป็นจริงเธอก็รอดจากการโดนภูติพรายทำร้ายด้วยอาหารมาหลายครั้ง

กิงจิและมัทสึบะ ผู้เฒ่าเทนงูสนับสนุนให้อาโอยใช้เรือนแยกมาเปิดเป็นร้านอาหารสไตล์ใหม่ เพื่อเป็นตัวเลือกให้แขกของเทนจินยะ เพราะอาหารเทนจินยะรักษารสชาติดั้งเดิมมาหลายร้อยปี จนทำให้ลูกค้าประจำเริ่มเบื่อหน่ายกันหมดแล้ว อาโอยแม้ไม่มั่นใจแต่ก็เริ่มมีใจอยากทำ ระหว่างคิดเมนูและตัดสินใจ เธอยังทำอาหารให้เหล่าภูติพรายในเทนจินยะได้ลองลิ้มชิมรสอีกหลายตน และรู้ความจริงว่า ความพิเศษของอาหารเธอไม่เพียงรสชาติตรงรสนิยมภูติพรายแล้ว ยังมีผลช่วยฟื้นฟูพลังวิญญาณอีกด้วย

นายใหญ่ ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ออกปากว่าหรือคัดค้าน ซ้ำยังค่อนไปทางสนับสนุนให้อาโอยเปิดร้านอาหาร หากยังคงยืนกรานว่าอาโอยคือว่าที่เจ้าสาวของตน ทั้งต่อหน้าอาโอย และต่อหน้าทุกคนที่พบเจอพวกเขา ซ้ำยังพูดเด็ดขาดว่าปิ่นปักผมดอกสึบากิที่ให้อาโอย เป็นของพิเศษ เพราะดอกสึบากิตูมนั้นจะค่อยๆ บาน และเมื่อบานจนสุด อาโอยต้องเป็นเจ้าสาวของเขา

จนกระทั่งมีเหตุ ให้อาโอยได้โอกาสกลับไปยังโลกอุทสึชิโยะ นายใหญ่จัดการกับความวุ่นวายที่เทนจินยะเสร็จแล้วกลับไปหาอาโอย… คราวนี้เขาถามเธอจนแน่ใจ ว่าต้องการกลับไปเปิดร้านอาหารที่คาคุริโยะจริงๆ หรือเปล่า เมื่ออาโอยตบปากรับคำจึงพาเธอกลับมาด้วยกัน

marker-small

เป็นนิยายซีรีย์ยาวที่แค่เล่มเดียวก็อัดแน่นไปด้วยปริศนาและซับพล็อตเยอะแยะมากมาย

อ่านตอนแรกนึกว่าจะมาแบบนิยายน้ำเน่า นางเอกโดนขายใช้หนี้ พระเอกมาเฟียโดะS มีสาวๆ และลูกน้องพระเอกขี้อิจฉามาทำร้ายนางเอกผู้น่าสงสาร… แต่ก็ไม่ใช่ พระเอกถึงจะเงียบๆ ไม่พูดไม่จาแต่ก็เป็นคนดีทั่วไป พยายามเอาใจนางเอก ไม่ใช้กำลัง ไม่มีการทำร้ายร่างกาย ไม่ข่มขู่อะไรเลย ขออะไรก็ให้หมดอีกต่างหาก นางเอกก็ไม่ได้ทำตัวน่าสงสารแต่อย่างใด

อ่านไปสักพัก อ้าว สงสัยจะเป็นนางเอกเปิดร้านอาหาร กิจการรุ่งเรือง มีภูติพรายมารายล้อม แต่ก็เอ๊ะ ไม่ใช่ คือมันมาแล้วก็หายไป กิงจิคนสนับสนุนให้เปิดร้านอาหารก็มาช่วยแบบผลุบๆ โผล่ๆ พระเอกก็โผล่มาทำคะแนนเป็นพักๆ แค่นั้น เวลาเทนจินยะมีปัญหาอะไรนางเอกก็แค่อยากรู้อยากเห็น แค่ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรสักเท่าไหร่

มีย้อนอดีตเล็กน้อย ประวัติคุณนางเอกก็ดูน่าสงสารนะ โดนแม่ทิ้ง เคยเกือบอดตาย พอเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เข้ากับใครไม่ได้เพราะไปคุยเรื่องภูติพราย (นี่มันนัตสึเมะ ยูจินโจชัดๆ) จนปู่เอามาเลี้ยง ก็ยังไม่มีเพื่อนสนิท ชีวิตนี้มีปู่คนเดียว พอปู่ตายกลายเป็นว่ามารู้ความจริงว่าโดนปู่ตัวเองขายให้ยักษ์ซะงั้น แต่ความถึกเถื่อนของนางทำให้ความน่าสงสารหายไป แล้วหันมาโฟกัสอาหารที่เธอทำได้อย่างง่ายดาย

บรรยายตัวละครไม่ได้ละเอียดมากมาย แค่พอเห็นภาพ ยิ่งพวกภูติพรายชื่อดังๆ อยู่แล้วแทบไม่มีบรรยายหน้าตาด้วยซ้ำ แต่บรรยายอาหารและขั้นตอนการทำได้น่ากินมากๆ อ่านแล้วแทบจะทำตามได้เลย อาจเป็นเทรนด์ใหม่(?)

ด้วยความที่เนื้อเรื่องซับพล็อตยุ่งวุ่นวายเยอะไปหมดเนี่ยแหละ ทำให้ไม่ค่อยได้แตะเข้าเรื่องหลัก คือเงิน 100 ล้าน นางเอกบอกจะทำงานใช้ คุณพระเอกก็ยอมค่าาาา แต่ไม่บอกว่าต้องทำงานนานแค่ไหน ให้ค่าแรงเท่าไหร่ นางเอกก็ตกลงทำซะงั้น นี่เธอเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจริงสิ ทำไมคิดง่ายจัง!? แอบรู้สึกว่าถ้าจะทำให้ทุกอย่างดูง่ายแบบนี้ ตั้งตัวเลขดูน่าจะเป็นไปได้แบบ ล้านเยน ห้าล้านเยน น่าจะดีกว่า ไม่น่าตั้งโอเวอร์ขนาดนี้แล้ว อ่านแล้วมันตะหงิดๆ ชอบกล แล้วตอนหลัง กลับโลกจริงไปครั้งนึง พอพระเอกไปรับก็ยอมกลับมาด้วยง่ายๆ อีกต่างหาก เอิ่มมมมม…. มหา’ลัย จะทำยังไง บ้านล่ะ อะไรนะ เรื่องหยุมหยิม ไม่ต้องสนใจเหรอ? ไว้ลองอ่านเล่มสองต่อก็แล้วกัน

สำหรับผู้สนใจ เรื่องนี้ยังไม่มีแปลเป็นภาษาไทยนะคะ ปกเป็นภาพการ์ตูนแต่ในเล่มไม่มีภาพประกอบ

มีเว็ปไซต์ทางการคือ http://www.fujimishobo.co.jp/sp/201601kakuriyo/

ใครสนใจก็ไปกดซื้อกดอ่านภาษาญี่ปุ่นกันได้ https://amzn.to/4baTYot

หรือไม่อยากอ่านนิยาย แบบคอมิคก็มีออกมาหลายเวอร์ชัน
คอมิคฉบับ B’s Comic https://amzn.to/3UQxR0Z
91qxai2q3bl._sl1500_

คอมิคฉบับ Sirius https://amzn.to/3wFVYWO
91h2t157unl._sl1500_

Kyuu Ketsuki ni Natta Kimi wa Eien no Ai wo Hajimeru~Long Long Engage

เอนทรี่นี้มาทำหน้าที่กองอวยแม้ช้าไปนิด

kyuketsuki-longengage

吸血鬼になったキミは永遠の愛をはじめる ~Long Long Engage

เป็นภาค After ของเรื่อง Kyuu Ketsuki ni Natta Kimi wa Eien no Ai wo Hajimeru ที่เคยแนะนำไว้ในเอนทรี่ก่อน https://jibchacafe.wordpress.com/2014/07/07/287/ และอีกครั้งใน https://jibchacafe.wordpress.com/2015/11/02/หนังสือที่ไม่มีวันจบ/ ตอนผู้เขียนประกาศว่าจะไม่มีการเขียนต่อค่ะ

สุดท้ายผู้เขียนได้ออกเล่มพิเศษ โดยอาจารย์โนมุระบอกว่าตั้งใจให้เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย และจะตีพิมพ์ในสนพ.อื่นไม่ใช่ในฐานะไลท์โนเวลด้วย สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะเขียนมาแล้วเจ้าตัวไม่ถูกใจ แต่ได้ บก. คนเดิมมาช่วยเกลา ช่วยออกความเห็นจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อาจารย์จึงเปลี่ยนใจว่าไม่ไปไหนแล้วเอาสนพ.เดิมเนี่ยแหละทำงานด้วยกันมาตลอด แต่ก็ยังอยากให้เป็นคนละเรื่องจากเดิม จึงตีพิมพ์มาในลักษณะนวนิยาย ที่ไม่ใช่ไลท์โนเวล และไม่ใช่ขนาดบุงโกะ (A6) ด้วย… วางบนชั้นหนังสือแล้วเซ็งนิดหน่อยเพราะมันไม่เข้ากับเล่มก่อนสักนิด

มาพูดกันด้านเนื้อเรื่องดีกว่า สปอยด์ 120% ใครคิดจะอ่านกรุณาข้ามส่วนนี้ไป

marker-small

หลังเนื้อเรื่องเล่ม 5
อายาเนะไปเรียนต่อที่อังกฤษ อุตายะจึงบินตามไปด้วยทั้งที่ไม่ได้ภาษาอังกฤษ เงินก็ไม่มี ไม่มีบ้านอยู่จนอยู่บ้านเดียวกับอายาเนะ ต่อมาภายหลังแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งคู่กลายเป็นดาราคู่ขวัญระดับโลก มาลูกด้วยกัน 3 คน แต่ตอนตัดสินใจกลับญี่ปุ่นกลับเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบิน อานาเนะเสียชีวิต อุตายะเองก็เสียชีวิตในเชิงกฎหมาย เจ้าตัวจึงแปลงตัวเองเป็นลูกเก็บของอุตายะอีกทีแล้วเข้าวงการใหม่อีกครั้ง

มีน่า บุตรสาวของอุตายะมีคนรัก และเขาขอเธอแต่งงานพร้อมบอกให้ไปอังกฤษด้วยกัน
แต่มีน่าตัดสินใจไม่ได้ เพราะเธอไม่สามารถทิ้งพ่อไปได้ ใช่ มีน่าตกหลุมรักอุตายะ พ่อของเธอเอง และปรารถนาจะเป็นแวมไพร์เพื่ออยู่กับพ่อตลอดไป
เธอจึงไปขอคำปรึกษาจากคนรอบตัวที่รู้ความลับ ขณะไปปรึกษาผู้เขียนได้แทรกเนื้อเรื่องย้อนอดีตมาให้

เริ่มจากมายุนะ ปัจจุบันเธอโด่งดังในฐานะหมอดูมหัศจรรย์ ใส่ชุดโลลิต้า และหน้าตาไม่แก่ลงราวใช้เวทย์มนตร์
ซึ่งนั่นไม่ใช่เวทย์มนตร์อะไรทั้งสิ้น แต่เธอกลายเป็นแวมไพร์ไปนั่นเอง ในภาคปกติมีตอนที่อุตายะโดนคนบุกทำร้าย คนนั้นคือน้องชายของมายุนะ น้องของเธอเกิดจากแม่โดนแวมไพร์ผู้เป็นต้นกำเนิดแวมไพร์ขืนใจ จึงนับว่าเป็นแวมไพร์ตั้งแต่เกิด แต่ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ พอมาเห็นอุตายะใช้ชีวิตใต้แสงไฟก็เกิดอาการหมั่นไส้อิจฉาจนพุ่งมาทำร้าย พวกเขาต่อสู้กัน แต่แวมไพร์ไม่มีวันตาย น้องชายจึงเลือกการหลับไหล เป็นการหลับนานแสนนาน โดยสักวันไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตื่นขึ้นมา มายุนะผู้หลงรักน้องชายต่างบิดาจึงยอมเป็นแวมไพร์ เพื่อวันที่น้องตื่นจากการหลับไหลจะได้ไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง

ต่อมาเป็นชิสุคุ

ชิสุคุเหมือนกับน้องชายของมายุนะ เธอเกิดจากบิดาแวมไพร์ต้นกำเนิด ในอดีตนานแสนนาน บนภูเขาหิมะ บ้านเกิดของนากิโนะ จนรู้ภายหลังว่าพวกเธอสืบสายตระกูลเดียวกันมา จึงมีใบหน้าคล้ายเป็น ชิสุคุเป็นที่รังเกียจเพราะเกิดมาแปลกประหลาดกว่าใคร ยกเว้นคุโร่ ช่างตีดาบเพียงคนเดียวที่หลงรักความงดงามของเธอ ชิสุคุเองก็รักเขา ทั้งคู่ตัดสินใจอยู่ด้วยกัน ในวันที่ตัดสินใจแต่งงานกัน คุโร่บอกให้ชิสุคุรอ ส่วนเขานำดาบไปส่งให้ขุนนางในเมือง แต่เพราะดาบของคุโร่คุณภาพดี ขุนนางจึงตัดสินใจสังหารเขา เพื่อไม่ให้ทำดาบให้ใครอีก ชิสุคุร้องไห้ และตีตราผนึกที่หัวใจของคุโร่ เป็นสัญลักษณ์ว่าวันใดก็ตามที่เขากลับมาเกิดใหม่ เธอจะได้ตามหาเขาพบ

ชิสุคุพบกับอุตายะตั้งแต่เด็ก เฝ้ารอให้เขาเติบโต ตั้งใจว่าเมื่อถึงอายุเท่าๆ กับคุโร่ค่อยทำให้เขากลายเป็นแวมไพร์ แต่เวลานั้นกลับมาเร็วกว่าที่คาด เพราะมีคนอิจฉาในความสามารถทางบาสของอุตายะ ชิสุคุทำให้อุตายะกลายเป็นแวมไพร์ แต่แล้วกลับพบความจริงว่า แม้ดวงวิญญาณเดียวกับคุโร่ แต่อุตายะก็คืออุตายะ เขามีชีวิตของตัวเอง และมีความรักของตัวเอง อุตายะรักเพียงอายาเนะคนเดียว และคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป ส่วนชิสุคุก็รักเพียงอุตายะคนเดียว และก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มีการจัดงานที่ระลึกให้อุตายะ โดยมีอุตายะปัจจุบันในฐานะลูกชายคนโตเป็นตัวแทน ผู้คนที่ไปร่วมจำนวนมากคงรู้ความจริงแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เรื่องนั้นประกอบกับเรื่องชิสุคุทำให้มีน่ารู้ว่าอุตายะไม่ได้อยู่ตามลำพัง เขามีเพื่อน ทั้งเพื่อนเก่าแก่ จนถึงเพื่อนใหม่ๆ ด้วย อีกทั้งยังรู้ว่าอุตายะรักเพียงอายาเนะ เขาไม่มีทางรักมีน่า หรือชิสุคุในฐานะคนรัก มีน่าจึงตัดสินใจแต่งงานกับแฟนของเธอแล้วไปอยู่อังกฤษ

ส่วนเรื่องแวมไพร์ มีการชี้แจ้งไว้ว่า คนที่มีลูกเป็นแวมไพร์ได้มีเพียงแวมไพร์ต้นกำเนิดคนเดียว
ส่วนผู้สามารถทำให้คนอื่นเป็นแวมไพร์ได้ คือแวมไพร์ต้นกำเนิดกับลูกของเขาเท่านั้น
ชิสุคุทำให้อุตายะเป็นแวมไพร์ได้ แต่อุตายะทำอย่างนั้นไม่ได้ มีน่าจึงต้องไปขอร้องชิสุคุและถูกปฏิเสธมา

นอกจากนี้มีเกล็ดแถมๆ ที่อาจารย์โนมุระชี้แจ้งไว้ทางทวิตเตอร์ส่วนตัวด้วย

หลังอุตายะตามอายาเนะไปอังกฤษ คนที่ขึ้นมาเป็นทูท็อปแทนทั้งคู่คือนากิโนะกับคุนิโยชิ คุนิโยชิถ้านึกกันไม่ออกคือหนึ่งในกลุ่มผู้พิทักษ์คาเรน่าซามะ ที่เขาเข้ากลุ่มเพราะป็อปเกินไปจนรำคาญเวลาผู้หญิงตามตื๊อ

น้องชายของคาเรน่าซามะเป็นแฟนคลับอุตายะเรื่องบาสเก็ตบอล อยู่ชมรมบาสและละคร ลำบากเพราะพี่สาวเด่นไปส่วนตัวเองเป็นคนธรรมดา แต่ถูกจับตามองเพียงเพราะเป็นน้องของคาเรน่า ริกะเองเข้าใจความรู้สึกนั้นจึงสนิทสนมกัน ฝ่ายคุณน้องชายตามตื๊อริกะจนคบกันจึงลาออกจากชมรมเพราะไม่อยากเล่นเลิฟซีนกับผู้หญิงคนอื่น แต่ก่อนจะออกได้เล่นละครด้วยกันครั้งหนึ่ง และมีฉากจูบด้วย

คาเรน่าซามะแต่งงานกับประธานชมรมกลุ่มเดเนบ แต่กว่าจะลงเอยกันได้แต่งๆ หย่าๆ กันถึง 3 ครั้ง

ผู้กำกับอิจิโกะเป็นเพื่อนกับชิสุคุ รู้ความลับหลายอย่าง เธอเป็นคนชวนคอยชวนชิสุคุไปกินแพนเค้กด้วยกัน บางทีไปกันสามคนกับอายาเนะด้วย

marker-small

ว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วแต่พอเวลาผ่านไปก็อดไม่ได้ ขาดๆ เกินๆ ต้องขอโทษด้วยเพราะอ่านมาพักใหญ่ๆ แล้วความจำไม่ดีนักค่ะ

คำว่า 永遠の愛 ในเรื่องนี้ดูไม่ใช่แวมไพร์สองคนรักกันธรรมดา แต่หมายถึงชิสุคุซึ่งตีตราบนดวงวิญญาณของคุโร่ เฝ้ารอให้เขากลับมาเกิดใหม่โดยยังคงคิดถึงคุโร่เสมอ และหมายถึงเหล่าแวมไพร์ อุตายะ มายุนะ ที่มีความรักไม่เสื่อมคลายไม่ว่าคู่ของคนจะอยู่ในสถานะใด นอกจากนี้เรายังคิดว่ามันหมายถึงมนุษย์ที่ตายไปโดยมีความรักอยู่ในใจ อายาเนะตายโดยคิดถึงอุตายะ ความรู้สึกนั้นไม่มีวันเสื่อมคลายไป ทุกคนต่างมีความรัก และความรักนั้นจะคงอยู่ตลอดไป

ส่วนชื่อภาค Long Long Engage คงหมายถึงเฉลยปริศนาระหว่างชิสุคุกับอุตายะ

ความเห็นอื่นๆ รู้สึกว่าเล่มนี้ยัดเยียดเกินไป พูดเรื่องมีน่าแล้วก็ย้อนอดีตไปอะไรไม่รู้ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่ เข้าใจว่าทำไมตอนแรกอาจารย์โนมุระถึงไม่อยากตีพิมพ์… แต่เรื่องที่ย้อนไปทั้งหลายเฉลยปริศนาที่วางเอาไว้ในภาคแรกมาครบถ้วน ไม่มีติดใจอะไรอีก โดยรวมแล้วรู้สึกขอบคุณที่ตีพิมพ์เล่มนี้มา ใครอ่านเรื่องนี้อยู่แล้วแนะนำให้อ่าน ใครไม่ได้อ่านอย่าริซื้อเล่มหนึ่งมาอ่าน

marker-small2

แถมอีกนิด

เรื่องใหม่ ฮาเร็ทรู้ท (楽園への清正道程)น่ารักดี แต่ไม่มีอะไรอิมแพ็ค
ถ้ามีคนสนใจไว้จะมาเล่าค่ะ แต่ถ้าไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อาจจะข้ามไป

หนังสือที่ไม่มีวันจบ

บล็อกนี้ได้แนะนำเรื่อง「吸血鬼になったキミは永遠の愛を始める」( Kyuketsuki ni Natta Kimi wa Eien no Ai wo Hajimeru) หรือชื่อภาษาไทย ตั้งโดยเราเอง “มนต์รักผีดูดเลือด” ไปในเอนทรี่ก่อนๆ (https://jibchacafe.wordpress.com/2014/07/07/287/) ตอนหนังสือเพิ่งออกมาหนึ่งเล่มแล้ว แต่น่าเสียดายที่หลายๆ ท่านคงไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้เพราะคงไม่มีใครทำขายในประเทศไทยเนื่องจากประกาศยุติพิมพ์ต่อแล้วเมื่อตอนท้ายของเล่ม 5 ที่เพิ่งออกไม่นานนี้เอง

ทำไมถึงใช้คำว่ายุติการพิมพ์ ไม่ใช่ยกเลิกงั้นหรือ นั่นเพราะเนื้อเรื่องไม่ได้จบ แต่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจทำให้ไม่สามารถพิมพ์ออกมาขายต่อได้และได้คำสั่งให้ตัดจบในเล่ม 5 แต่ตัวอาจารย์โนมุระตัดสินใจเฉลยปมปริศนาบางอย่าง แล้วเหลือค้างไว้บางอย่าง กลายเป็นหนังสือที่ยังไม่จบ และไม่มีวันจบอีกต่อไป

มันทำให้เรานึกถึงเรื่อง 「陸と千星 〜世界を配る少年と別荘の少女」หรือ Riku to Chise~Sekai wo Kubaru Shounen to Bessou no Shoujo เรื่องสั้นเล่มเดียวจบ ความรักชวนง่วงของหนุ่มส่งหนังสือพิมพ์กับคุณหนูแห่งบ้านพักตากอากาศ เพราะอาจารย์โนมุระเคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ ว่าบางครั้งเขาเองก็นึกเล่นๆ ว่าหลังจากนั้นทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร จะได้รักกันไหม จะได้พบกันอีกครั้งหรือไม่ มีโอกาสติดต่อกันอีกไหม ฯลฯ แล้วฝากให้คนอ่าน “ลองจินตนาการดู”

การที่อาจารย์โนมุระยืนยันว่าเรื่องคิวเค็ทสึกิยังไม่จบเพราะคิดเอาไว้แล้วและไม่สามารถเขียนให้จบได้ใน 5 เล่ม ทำให้เราไม่รู้ว่าควร “ลองจินตนาการดู” ดีหรือเปล่า… คิดไปเรื่อยๆ มันก็สนุกดี เหมือนแต่งฟิคฯ ในหัว ไม่ได้เขียนออกมา แต่ก็ยังรู้สึกอยากอ่านต่อให้จบอย่างที่อาจารย์โนมุระอยากให้จบ

การพูดแบบนี้แล้วมาเขียนบล็อกภาษาไทยอาจไร้ความหมาย… แต่ดูตัวเลขยอดขายและคำพูดเด็ดขาดในอาโตกาคิ ก็แอบคิดไม่ได้ว่า ต่อให้เขียนบล็อกหรือส่งจดหมายเป็นภาษาญี่ปุ่นก็อาจไร้ความหมายอยู่ดี ทุนนิยมนี่มันช่างรุกล้ำทุกวงการ

marker-small

สุดท้าย สปอยด์ แต่ขอระบาย

ริกะกำลังจะลงสนามแล้วก็จบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ แฟมิซืออออออออ อยากกจะกรี๊ดหน้าสนพ. เราสะกิดใจริกะตั้งแต่เล่มแรกแล้ว และอยากให้เธอเป็นนางเอกมากกกกกก แต่เล่นดันอายาเนะมาซะขนาดนี้สุดท้ายก็คงแห้วแหละ เนอะๆๆๆ (คิดแบบนี้รู้สึกดีกว่าจริงๆ ริกะเป็นนางเอกแต่ดันไม่ได้อ่านถึงตรงนั้น)

อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้ อุตายะน่าหมั่นไส้!!

ชิสุคุเป็นอะไรกับอุตายะกันแน่….

แล้วอิจิโกะนี่ตัวอัลลัยยยยยย แวร์วูฟเหรอ 5555555

อยากอ่านต่ออออ แงงงงงงง

ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ต่อ อย่างน้อยๆ ขอสปินออฟชิโนบุกับคาจิให้หน่อยได้ไหมมมมมม T____T

กรี๊ดนิยาย Hikaru ga Chikyuu ni Ita Koro…… Series (ยามเมื่อฮิคารุอยู่บนโลก……) ※Spoil กระจาย

เพิ่งอ่านจบสดๆ ร้อนๆ กับเรื่องนี้ ヒカルが地球にいたころ・・・・・・(Hikaru ga Chikyuu ni Ita Koro……) หรือแปลเป็นไทยคร่าวๆ ว่า ยามเมื่อฮิคารุอยู่บนโลก

ซีรีย์นี้เขียนโดย Nomura Mitsuki และวาดภาพโดยTakeoka Miho คู่ขวัญ(??) ที่โด่งดังจากซีรีย์ Bungaku Shoujo (สาวน้อยวรรณกรรม) ความยาวปานกลาง จำนวน 10 เล่มจบ

มีข่าวแว่วๆ ว่ามีลิขสิทธิ์แล้วในไทย โดยสำนักพิมพ์เดียวกับ Bungaku Shoujo อาจจะออกในเร็ววันก็เป็นไปได้ ใครอ่านบล็อกนี้แล้วสนใจก็ตามไปหาซื้อได้ค่ะ

 

เนื้อเรื่อง

aoi

อาคากิ โคเรมิตสึ เด็กผู้ชายผมแดง หน้าบูดบึ้ง ตาขวาง หลังค่อม บุคลิกแย่สุดๆ ดูยังไงก็อันธพาลชัดๆ ไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนเลยแต่ดันมีข่าวลือเพี้ยนๆ ว่าเป็นอันธพาลบ้าง มาเฟียบ้าง แต่ดันไปสอบเข้าโรงเรียนคุณหนูคุณชายเฮอันกาคุเอ็นได้ ซึ่งโรงเรียนนี้ปกติมีแต่ชนชั้นสูงเรียนกัน และนักเรียนส่วนมากก็เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล ประถม เลื่อนชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ม.ปลายแทบไม่มีนักเรียนใหม่เข้ามา แต่กรรมเวรของเจ้าตัวยังไม่หมดแค่นั้น วันเปิดการศึกษาดันไปช่วยคุณตาคนหนึ่งจนตัวเองโดนรถบรรทุกชนเข้าโรงพยาบาล… เปิดเรียนมาอีกทีข่าวลือแพร่สะพัดว่าไปทะเลาะกับนักเลงจนเข้าโรงพยาบาล และไม่มีใครคบเหมือนเดิม ยกเว้นแค่คนหนึ่ง คือมิคาโดะ ฮิคารุ เด็กหนุ่มงดงาม ผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาสะสวย เสียงหวาน เป็นชนชั้นสูง ตระกูลยิ่งใหญ่ เจ้าชายประจำโรงเรียน สาวๆ กรี๊ดกร๊าด ฮิคารุเข้ามาทักทายและขอเป็นเพื่อนกับโคเรมิตสึอย่างไม่กลัวเกรง แต่ความซวยไม่จบแค่นั้น ผ่านไปเพียงวันเดียว ฮิคารุจมน้ำตาย!? โคเรมิตสึจึงไปร่วมงานศพด้วยอย่างลังเล เพราะไม่รู้จักอะไรอีกฝ่ายสักอย่าง แต่ยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ไปแบบงงๆ คนอื่นในงานก็งง ในงานศพนั้นเขาพบผู้หญิงสองคน คนหนึ่งเป็นสาวสวย แบบบาง ผมยาวสีดำ ชื่อซาโอโตเมะ อาโอย เธอตะโกนด่าว่าฮิคารุว่าเป็นคนขี้โกหก ท่าทางโกรธขึ้ง ต่อมาจึงได้รู้ว่าอาโอยเป็นคู่หมั้นของฮิคารุ แต่ฮิคารุดันไปหาผู้หญิงคนนั้นทีคนนู้นทีจนสาวเจ้าเกลียดขี้หน้าเข้า สมกับฉายาที่โคเรมิตสึตั้งให้เจ้าตัวว่า “เจ้าชายฮาเร็ม” บ้างล่ะ “เจ้าชายจอมกะล่อน” บ้างล่ะ ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวในชุดกิโมโน หน้าตาเหมือนฮิคารุ แต่ดูเด็กเกินกว่าจะเป็นแม่ เธอนั่งเฉย และเผยยิ้มออกมา

ขณะนั่งหน้าบูดบึ้งไม่รู้จักใครและถูกคนรอบข้างนินทาอยู่นั้นเอง เขาได้ยินเสียงเรียก รู้ตัวอีกทีวิญญาณของเจ้าชายมิคาโดะ ฮิคารุตามไปถึงบ้านซะแล้ว แถมยังเกาะติดเพราะไม่สามารถแยกจากโคเรมิตสึได้ ยังไม่พอ มาบอกว่าไปสู่สุขติไม่ได้เพราะมีเรื่องค้างคาใจอยู่ เลยขอให้โคเรมิทสึช่วยทำแทน เรื่องค้างคาใจที่ว่าคือให้ของขวัญวันเกิดอาโอย คู่หมั้นของตนให้ได้ แถมยังเตรียมของขวัญไว้อย่างอลังการถึง 7 ชิ้น!! แต่นับเป็นเวรกรรมที่เกิดมาหน้าตาหน้ากลัว แถมยังบุคลิกน่ากลัว ยิ้มไม่เป็น ไม่ถูกกับผู้หญิงเพราะโดนแม่ทิ้งตั้งแต่เด็กและเลี้ยงดูมาโดยคุณตาที่เกลียดผู้หญิง…อาโอยนางไม่ยอมรับ ส่วนหนึ่งเพราะตัวโคเรมิตสึเองไม่น่าไว้ใจ อีกส่วนคือยังโกรธฮิคารุอยู่ และคิดว่าฮิคารุหลายใจ ไม่ได้ชอบตนจริงๆ (ไม่ใช่คิดสิ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ)

นอกจากอาโอยแล้วยังมีไซกะ อาซาอิลูกพี่ลูกน้องของอาโอย ประธานนักเรียนสุดโหด รังเกียจโคเรมิตสึสุดชีวิตเพราะดูชั้นต่ำและไม่น่าไว้ใจ และไม่อยากให้อาโอยยุ่งเรื่องฮิคารุอีก (ฮา… เห็นงี้พระเอกของเราก็เป็นหลานอาจารย์สอนเขียนพู่กันชื่อดังระดับนึงเชียวนะ ลายมือสวยมากอีกต่างหาก) อาซาอิปกป้องอาโอยสุดๆ จนสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องอายุเท่ากันหรือลูก… อ้อ สองสาวนี่เป็นรุ่นพี่ของโคเรมิตสึและฮิคารุ 1 ปี ส่วนเพื่อนร่วมรุ่นในห้องที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องอีก 2 คนคือ

ชิคิบุ โฮโนกะ คนนี้เป็นสาวซึนสุดแกร่ง คนอื่นๆ กลัวโคเรมิตสึแต่เธอไม่ค่อยจะกลัว… แถมซุ่มซ่าม พลาดจนล้มกลิ้งไปพร้อมโคเรมิตสึ แล้วถีบคุณพระเอกอย่างสวยงามพร้อมคิดไปเองเสร็จสรรพว่านอกจากจะเป็นอันธพาลแล้วยังเป็นพวกลามกอีกด้วย (….) แต่หลังจากนั้นโคเรมิตสึเก็บโทรศัพท์ของโฮโนกะได้ ค้นพบความลับว่านางเป็นปาปุรุฮิเมะ บล็อกเกอร์และนักเขียนนิยายในอินเตอร์เน็ตสุดโด่งดังในฐานะผู้ให้คำปรึกษาด้านความรักแก่สาวๆ คุณพระเอกเลยไปดักรอ แล้วบอกว่าตนรู้ความลับแล้ว แต่ไม่เอาไปบอกใครหรอกนะ ไม่ต้องห่วง พร้อมขอร้องให้เป็นที่ปรึกษาทีว่าจะทำยังไงให้อาโอยยอมเปิดใจและรับความขวัญวันเกิด โฮโนโกะเป็นคนดีมากค่ะ ช่วยทุกอย่าง(แทบจะทุกเล่มด้วย) และเริ่มรู้สึกดีๆ กับโคเรมิตสึที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อผู้หญิงที่ตนหลงรัก อ่านไม่ผิดค่ะ…นางเป็นพวกมโนภาพกว้างไกล คิดเองเออเอง ทุกข์เองตลอดสิบเล่ม

อีกคนหนึ่งคือ ฮานาซาโตะ มิจิรุ สาวน้อยร่างเล็ก ใส่แว่น สุดเชย มีฉายาว่าหัวหน้าห้อง เพราะโดนเพื่อนยัดเยียดหน้าที่หัวหน้าห้องให้ตั้งแต่เด็กจนโต ดูเป็นคนขี้กลัว หลบหลังโฮโนกะตลอด แต่แต่ละคำที่พูดออกมาจะด้วยความตกใจหรือความกลัวทำร้ายจิตใจโคเรมิตสึเหลือเกิน… มิจิรุดูจืดๆ แต่มีบทบาทไปจนถึงเล่มสุดท้ายเลยนะเอ้อ คนเขียนวางเรื่องไว้ดีจริงๆ

สุดท้ายคงไม่ถือว่าสปอยด์หรอกเนอะ? แต่ถ้าใครกลัวสปอยด์ข้ามตั้งแต่ตรงนี้เป็นไปค่ะ

แน่นอน พระเอกต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฮิคารุสำเร็จได้ ให้ของขวัญอาโอย และอาโอยก็บอกรักพร้อมบอกลาฮิคารุได้ ยอมเข้าใจฮิคารุและลดทิฐิของตัวเองลง แม้จะสายไปแล้วก็ตาม…

เรื่องตกค้างในใจฮิคารุหมดไปแล้ว

ฮิคารุจะหายไปจากโลกใบนี้แล้ว

โคเรมิตสึผู้ยิ้มไม่ได้ ร้องไห้ไม่หยุด…ฮิคารุผู้ไม่สามารถร้องไห้ได้ยิ้มและพูดหยอกล้อ

แต่

แน่นอนว่าฮิคารุไม่หายไป ไม่งั้นจะมีเล่ม 2-10 ได้ยังไง!

โคเรมิตสึร้องไห้เก้อ ก่นด่าฮิคารุเป็นการใหญ่ แต่ฮิคารุบอกว่าที่ยังไม่หายไปเพราะยังมีเรื่องติดค้างเหลืออยู่ หมดเมื่อไหร่ก็คงหายไปเอง ฝากด้วยนะ พร้อมเสริมอีกว่าตอนบอกลาจริงๆ ขอให้โคเรมิตสึยิ้มได้ และยิ้มให้ตน

 

เล่ม 2Yuugao

yuugao

นางเอกของภาคนี้คือ Kanai Yuu เป็นเด็กผู้หญิงฮิคิโคโมริ บ้านยากจน อาศัยอยู่คนเดียว ไม่ยอมมาโรงเรียน ฮิคารุมักแวะเวียนไปหาเธอบ่อยๆ คราวนี้เลยเป็นโคเรมิตสึไปแทน… แต่โคเรมิตสึไม่เหมือนฮิคารุ เขาไม่ได้ไปนั่งคุยเป็นเพื่อนเล่นกับยู แต่พยายามช่วยเหลือยู พาออกมาโลกข้างนอก เพราะเขาคิดว่ายูไม่สามารถอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ทั้งชีวิต แต่พอจะออกไปได้ ก็ดันมีการกลั่นแกล้งจนเธอทนไม่ได้อีก อุปสรรคเยอะแยะมากมาย “ด้วยฝีมือมนุษย์” แต่ไม่รู้ว่าใคร…แถมจนจบภาคก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใคร ทิ้งไว้ค้างๆ คาๆ ซะอย่างนั้น ภาคนี้เห็นชัดเรื่องความแตกต่างในความคิดของโคเรมิตสึและฮิคารุ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าใครผิดหรือใครถูก แค่เห็นต่างกัน เท่านั้นจริงๆ ส่วนโฮโนกะให้ความช่วยเหลืออีกแล้ว แถมยังคิดอย่างจริงจังอีกแล้วว่าโคเรมิตสึหลงรักคานาอิ ยู

ตัวละครที่มีบทสำคัญเพิ่มอีกแล้วในภาคนี้ ได้แก่โทโจ ชุนโกะ ตัวตลกประจำเรื่อง เอ้ย…คนที่จริงจังที่สุดในเรื่อง? เขาเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับตระกูลมิคาโดะ หลงรักคานาอิ ยู และออกตัวปกป้องอาโอยในฐานะน้องสุดรัก แต่ดันเกลียดแมวของอาโอยอย่างกับอะไรดี เคยช่วยเหลือยูตอนฝนตก แต่หลังจากนั้นกลายเป็นว่ายูโดนรังแกหนักกว่าเดิม ไม่พอ ดันรู้ว่าฮิคารุไปหายูที่ห้องบ่อยๆ คุณชายหัวโบราณคิดว่าผู้หญิงต้องสะอาด บริสุทธิ์ รักษาพรหมจรรย์ก็รับมิด้ายยยยย แค้นทั้งยูทั้งฮิคารุ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ตลกมากจริงๆ ตลกตั้งแต่เล่มแรกที่โผล่มายันเล่มสุดท้ายเลยโทโจเนี่ย

ฮิอินะ เป็นสาวน้อยตัวเล็กหน้าอกใหญ่ (บรรยายไว้อย่างนี้จริงๆ นะ) สายสืบประจำโรงเรียน เพราะโคเรมิตสึขยันสร้างเรื่อง นางเลยขยันโผล่มาถามนู่นถามนี่พร้อมเอาข้อมูลต่างๆ นานามาเสนอให้จนรู้สึกไม่น่าไว้ใจ แต่ผ่านไปจะมีเฉลยว่าจริงๆ ฮิอินะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มตระกูลยิ่งใหญ่มากกว่าที่คิด

[SPOILED] สุดท้ายแก้ปัญหาสำเร็จ ยูยอมออกจากบ้านที่อาศัยอยู่คนเดียว และบินไปออสเตรเลียอยู่กับมารดา ทั้งที่ปฏิเสธมาตลอด ก่อนไปเธอได้ให้แมวสีขาวชื่อโครุริไว้กับโคเรมิตสึ พร้อมสัญญาว่าจะต้องไปเดทกันให้ได้สักครั้ง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่โคเรมิตสึซึ่งเคยไม่ถูกโรคกับผู้หญิงหลงรัก เป็นรักแรกของ อาคากิ โคเรมิตสึ

 

เล่ม 3 Waka Murasaki

wakamurasaki

วาคากิ ชิโอริโกะ เป็นเด็กที่บ้านมีหนี้สิน ได้ฮิคารุช่วยเหลือ และเพราะบ้านลำบากถึงแก่แดดซะเหลือเกิน โผล่มาตอนแรกน่าตบดิ้นจริงๆ… คราวนี้คุณตา หรือปู่ไม่แน่ใจที่เลี้ยงดูเธอเสียชิวิตด้วย…โคเรมิตสึจะไปช่วยแต่ทางนี้ก็โวยวายๆ จะเอาแต่พี่ฮิคารุ แล้วหาเงินด้วยวิธีผิดๆ ต่อไป… โคเรมิตสึวิ่งวุ่นไปตามตื๊อชิโอริโกะมากๆ เข้าโฮโนกะดันคิดว่าโคเรมิตสึเป็นโลลิคอนอีกต่างหาก

[SPOILED] ตอนหลังปรากฏว่าคุณตาของโคเรมิตสึรู้จักกับตาของชิโอริโกะ จึงตกลงรับมาเลี้ยงดูที่บ้าน อยู่กับโครุริอย่างสนิทสนม

 

เล่ม 4 Oboro Tsukiyo

oborotsukiyo

อุดาเตะ สึยะโกะ รุ่นพี่ผมแดงสุดสวย เป็นนางรำ ระบำญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก มาจากตระกูลอุดาเตะซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลมิคาโดะด้วย นางเป็นคู่หมั้นพี่ชายต่างมารดาของฮิคารุ (พูดภาษาบ้านๆ ลูกเมียหลวง) มิคาโดะ คาสึอากิ แต่ดันลอบเป็นชู้(???)กับฮิคารุอย่างเปิดเผยสุดๆ จูบกันกลางสนามขี่ม้าเป็นต้น ส่วนคาสึอากิเองก็มักพูดถากถางสึยะโกะอยู่บ่อยๆ เอาไปเปรียบเทียบกับอาโอยคู่หมั้นของน้องชายเป็นเชิงว่าอาโอยดีกว่าตั้งเยอะไม่รู้ทำไมตนถึงต้องมาหมั้นกับสึยาโกะด้วยก็ไม่รู้ ฯลฯ เกิดการกลั่นแกล้งอีกแล้ว คล้ายๆ กับตอนยู แต่คราวนี้เหยื่อกลับเป็นอาโอย และอาโอยฝังใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของสึยะโกะ เพราะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยครั้งตั้งแต่เด็กๆ แต่จริงๆ แล้วมันมีหลายอย่างเป็นปริศนามากกว่านั้น โคเรมิตสึจึงเข้าชมรมระบำญี่ปุ่น สนิทสนมกับสึยะโกะ พร้อมๆ กับสืบหาความจริงไปด้วย แต่คิดยังง๊ายยย ยังไงสึยาโกะก็น่าสงสัยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้เกี่ยวข้องกับสึยะโกะ เป็นที่รู้กันว่าตระกูลอุดาเตะเป็นตระกูลต้องสาป ติดคำสาปของโระคุโจ ซึ่งว่ากันว่าเป็นแมงมุมจำแลงกาย กลืนกินชายที่ตนรัก เพราะฉะนั้นหากเธอจะทำไปโดยไม่รู้ตัวเพราะมีวิญญาณของโระคุโจเข้าสิงก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมอีกนิด โฮโนกะยังคงคิดว่าโคเรมิตสึหลงรักรุ่นพี่สึยะโกะต่อไป ตามมาเข้าชมรมระบำญี่ปุ่นพร้อมกับมิจิรุด้วย

[SPOILED] ภาคนี้หักมุมกันสุดๆ ปรากฏคนอ้างชื่อโรคุโจคือตัวคาสึอากิเอง… ที่คนเข้าใจผิดว่าเป็นสึยะโกะเพราะคุณชายแกไปยืมชุดสึยะโกะมาใส่…มีงานอดิเรกแต่งหญิง และที่ทำให้คิดว่าชอบอาโอยน่ะ จริงๆ ไม่ใช่หรอก เขาหมั่นไส้อาโอยที่ฮิคารุประคบประหงมเหลือเกินทั้งที่ตัวเองสวยกว่าแท้ๆ อ่านถึงตอนเฉลยเป็นฉากคาสึอากิแต่งหญิงแล้วอุทานขึ้นมาว่า “ยูกิอัตสึเรอะ”

 

เล่ม 5 Suetsumu Hana

suetsumuhana

นางเอกคราวนี้เป็นเพื่อนทางเน็ตของฮิคารุ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เรียกชื่อว่า “ซาฟราน” แล้วช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนก็มานัดเจอกัน แต่เธอไม่ยอมโผล่มาเจอสักทีเพราะคิดว่าหน้าตาตัวเองไม่สวย ส่วนโคเรมิตสึเองก็ไปในฐานะตัวแทนของฮิคารุ ภาคนี้สนุกในตัวเอง หักมุมไป หักมุมมา พลิกไป พลิกมา ส่วนตัวเราคิดว่าตัวละครภาคนี้ไม่ได้มีความสำคัญหรอก แต่มีส่วนสำคัญในการเสริมเนื้อเรื่อง แสดงพัฒนาการอาโอยที่อยากเปลี่ยนตัวเองจนไปทำงานพิเศษ แสดงความสัมพันธ์ตัวละครที่ไปเที่ยวสระว่ายน้ำด้วยกันในวันหยุด และมีส่วนสำคัญมากที่ตอนอ่านรู้สึกมันจบค้างๆ คาๆ ชอบกลๆ ก่อนจะโผล่มาอีกทีตอน 3 เล่มสุดท้าย

 

เล่ม 6 Asa Gao

asagao

ชื่อเรื่องของทุกภาคเอามาจากชื่อตัวละครผู้หญิง และชื่อบทในฮิคารุ เก็นจิ และตัวละครก็นำชื่อเหล่านี้มาปรับ คงคันจิไว้ให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเล่มนี้ใครเป็นตัวเอก ตั้งแต่ประกาศชื่อภาคก็รู้ทันที ในที่สุด Saiga Asai ก็ได้มีเนื้อเรื่องของตัวเองสักที หลังเป็นเนื้อเรื่องแถมท้ายเล่มอยู่หลายเล่ม(ฮา)

เล่มนี้ลงลึกเกี่ยวกับตระกูลมิคาโดะ และผู้เกี่ยวข้องอย่างอาซาอิ อาโอย สึยะโกะ เล่าเรื่องสมัยเด็กๆ และการตัดสินใจของอาสะจังที่จากเด็กน้อยใสซื่อเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงใจแข็ง เลือดเย็นเพื่อปกป้องอาโอยและฮิคารุ และเริ่มลงลึกเรื่องราวเกี่ยวกับฮิคารุที่เจ้าตัวไม่อยากให้รู้ ทั้งเรื่องที่เป็นลูกเมียน้อย แม่ตาย หลงรักคนคนหนึ่งเข้าแต่ไม่สมหวัง เรื่องการหมั้นหมาย เรื่องราวของตระกูลใหญ่ ไม่รู้จะเล่ายังไงให้มันไม่สปอยด์มากจนเกินไป เอาเป็นว่าอาสะจังน่ารักสุดๆ

 

เล่ม 7 Utsusemi

utsusemi

เรื่องเริ่มต้นจากอาสะจังพูดเกี่ยวกับฟุจิโนะ หญิงสาวผู้ที่ฮิคารุรักมากที่สุด และเป็นแม่เลี้ยงของฮิคารุด้วย พร้อมทั้งข้อสงสัยว่าลูกในท้องของฟุจิโนะเป็นลูกของฮิคารุหรือพ่อฮิคารุกันแน่ ซึ่งฮิคารุก็ยืนยันว่าไม่ใช่ตนแน่นอน แต่โคเรมิตสึกับฮิคารุไปที่โบสถ์ซึ่งฟุจิโนะไป และที่นั่นเขาพบกับเซมิกายะ โซระ กำลังตั้งท้อง และฮิคารุสงสัยว่าลูกของเขาเอง (……..) อ่านแค่ตอนเริ่มเรื่องก็จุดกระจายทั้งคนอ่านทั้งโคเรมิตสึแล้ว ทางโคเรมิตสึและอาซาอิต่างวุ่นวายกับนี้ เพราะถ้าหากเป็นลูกของฮิคารุจริง แปลว่าต้องอยู่ในตระกูลมิคาโดะ แต่โซระกลับไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับใครจนมีคนไปพบ ซ้ำยังยืนยันว่าจะเลี้ยงดูลูกเอง จนสุดท้ายหนีหายไปคนเดียว (นี่ฉันอ่านเรื่องอะไรอยู่ อย่างกลับละครไทย พล็อตทำเอานึกถึงรักเล่ขึ้นมาทีเดียว) สึยะโกะดีอกดีใจกับลูกของฮิคารุ ส่วนโฮโนกะดันคิดว่าเป็นลูกของโคเรมิตสึ (ฮา) ส่วนโคเรมิตสึระหว่างไปมาหาสู่พูดคุยกับโซระซึ่งพูดเกี่ยวกับลูกในท้องอย่างยิ้มแย้มก็เผลอทับซ้อนกับภาพมารดาของตนเองที่ทิ้งตัวเองไปเข้า โยงไปเคลียร์อดีตพระเอกจนจบ พร้อมเฉลยเรื่องลูกของโซระ

[SPOILED] ลูกโซระนั่นนางมโนขั้นสูงสุด หลอกตัวเองว่าท้อง โอ้โห เล่นพลิกซะใครจะเดาออกคะ

 

เล่ม 8 Hanachiri Sato

hanachirisato

มามุขเดิม… เดาได้ทันทีใครเป็นนางเอกภาคนี้ฮานาซาโตะ มิจิรุ แน่นอน คร่าวๆ ว่าเธอทำท่าเหมือนตกหลุมรักโคเรมิตสึ แต่จริงๆ แล้วเพราะเห็นภาพซ้อนฮิคารุซึ่งหลงรักมาตั้งแต่ประถมซ้อนกับโคเรมิตสึเพราะพูดอะไรเหมือนๆ กัน (ก็แหงสิ) โคเรมิตสึเลยทำตัวเป็นตัวแทนฮิคารุอีก ออกเดทกับมิจิรุ 1 วันในงานโรงเรียนเป็นอันจบพิธี

[SPOILED] เล่มนี้เหมือนจะจบ แต่ก็ไม่จบ อ่านแล้วรู้สึกมีบางอย่างติดค้าง ทำไมเฉลยไม่ครบ พออ่านเล่มอวสานปุ๊บอ๋อทุกอย่าง อย่างนี้นี่เอง…

 

เล่ม 9 Rokujou

rokujou

อึ้งไปเล็กน้อย เพราะตอนของสึยะโกะมีพูดถึงโรคุโจไปแล้ว นึกว่าจะรวมโอโบโระสึกิโยะ กับโรคุโจมาไว้เรื่องเดียวกัน ปรากฏว่าไม่ใช่จ้า มีโผล่มาอีก… ใบ้หน่อยๆ ว่าโรคุโจเป็นผู้เกี่ยวข้องกับตระกูลอุดาเตะ ที่ไม่ใช่สึยะโกะ ถ้าใครอ่านตั้งแต่เล่ม 1 มาถึงตอนนี้จะพอเดาได้ลางๆ แต่รู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนต้นๆ ก็ไม่บอกหรอกว่าใคร เขียนเหมือนเป็นตัวร้ายมืดๆ ไม่เห็นหน้าค่าตาคอยชักใยอยู่ข้างหลัง มาถึงเล่มนี้มีเรื่องวุ่นเยอะมาก คดีนี้ต่ออีกคดี ต่อด้วยอีกคดี จนสับสนว่าอะไรคนร้ายมันจะชั่วร้ายได้เยี่ยงนี้… สมเป็นเล่มก่อนจบจริงๆ ไต่ขึ้นจุดไคลแม็กซ์อย่างรวดเร็ว แถมด้วยตัวละครสำคัญๆ ตัวเก็งนางเอกทั้งหลายโผล่มาครบ แม้แต่ยูยังกลับมาจากออสเตรเลียเลย

[SPOILED] ทำร้ายคนอ่านสมเป็นโรคุโจจริงๆ เฉลยออกมาอย่างที่เดาไว้เป๊ะ ยูกิอัตสึ เอ้ย คาสึอากินี่เอง ที่ว่าเกี่ยวข้องกับอุดาเตะคือแม่ของเขามาจากตระกูลอุดาเตะ จบลงเหมือนจะแฮปปี้เอนดิ้ง โคเรมิตสึตกลงปลงใจ(?)เป็นเพื่อนกับคาสึอากิ แล้วคุณพี่ชายก็ตามมาถึงบ้าน เอากิ้งก่าคาเมเลียนสุดรักมาให้บอกว่าช่วยรับเป็นเจ้าสาวที เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ อ่านยังไงก็รู้สึกว่าอีตาคาสึอากิคิดไม่ซื่อกับโคเรมิตสึแหงๆ… แล้วก็จบแบบทิ้งปริศนาไว้เพียบอีกต่างหากแต่อย่างน้อยโคเรมิตสึกับโฮโนกะก็ตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟนแล้วนะ

 

เล่มสุดท้าย Fujitsubo

fujitsubo

อะแฮ่ม มาถึงเล่มสุดท้าย ฟุจิสึโบะ แม่เลี้ยงของฮิคารุและคนที่ฮิคารุรักมากที่สุด แถมหน้าตาคล้ายกันอีกต่างหาก ก่อนจะมาเฉลยว่าเขาเป็นน้องแท้ๆ ของแม่ฮิคารุ… รักต้องห้ามมากขึ้นทุกที ข้อสงสัยเรื่องลูกในท้องแล้วลูกใครกันแน่ระหว่างฮิคารุกับพ่อกลับมาอีกครั้ง แถมด้วยเฉลยเรื่องที่ค้างคามาทุกตอนโดยเฉพาะจาก rokujou ว่าผู้ใช้ชื่อ ‘Gu-bijin’ (สาวงามผู้โง่เขลา) ส่งเมล์ป่วนไปทั่วโรงเรียนตั้งแต่เล่มแรกๆ และปริศนาทุกอย่างตั้งแต่เล่มแรกและยังไม่ถูกไขในเล่มที่แล้วโดนขุดออกมาหมด ทั้งคนแกล้งยู ทั้งคนประสงค์ร้ายต่อโฮโนกะ ทั้งเจ้าของจดหมายปริศนา ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ เฉลยครบไม่มีอะไรตกค้างแม้แต่อย่างเดียว สมกับที่อาจารย์โนมุระบอกว่าคิดตอนจบไว้ตั้งแต่เริ่มเขียน เป๊ะจริงๆ โทโจ และคาสึอากิกลายเป็นตัวตลกไปโดยสมบูรณ์ด้วย (ฮา) คงไม่บอกอะไรมาก เพราะคิดว่าถ้าใครอ่านถึงเล่ม 9 ยังไงก็คงซื้อเล่ม 10 มาอ่านอยู่แล้ว ห้ามพลาดจริงๆ

[SPOILED] ปรากฏว่าRokujou ผู้ติดคำสาปของอุดาเตะจริงๆ เป็นมิจิรุ เหมือนเป็นคนสองบุคลิก แถมยังเพ้อเจ้อไปเองขั้นรุนแรง รู้ว่าฮิคารุหลงรักฟุจิโนะ และคิดว่าตัวเองเป็นฟุจิโนะ จนสุดท้ายก็แยกความจริงความคิด แยกสองบุคลิกของตัวเองไม่ออก และเพราะรักฮิคารุมากจนใกล้บ้าเนี่ยแหละ เลยมองออกว่าฮิคารุยังอยู่บนโลก และอยู่กับโคเรมิตสึ จนสุดท้ายกระโดดลงแม่น้ำไหลเชี่ยวกลางพายุฝน ที่เดียวกับฮิคารุเสียชีวิต แต่โคเรมิตสึกระโดดตามลงไปช่วย…ปริศนาของเรื่องทั้งหมดเป็นอันไขกระจ่าง ทุกอย่างที่ผ่านมาหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครทั้งคนช่วยฮิคารุก่อนตายไปจนถึงคนส่งเมล์เป็นมิจิรุนี่เอง ที่บางเล่มโดยเฉพาะเล่มท้ายๆ รู้สึกมันมีคดีซ้อนคดีจนตามไล่จัดการได้ไม่หวาดไม่ไหวนั่นก็เพราะส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่คาสึอากิทำ อีกส่วนหนึ่งเป็นฝีมือมิจิรุ แต่ทั้งตัวละครในเรื่องและคนอ่านดันไปคิดว่าเป็นฝีมือคนคนเดียวนั่นเอง

marker-small

ยาวมาก พิมพ์เองตกใจเอง แต่ก็แหม 10 เล่มแน่ะ!!

เรื่องนี้ใช้คำว่า “คำสาป” เยอะมากจริงๆ ทั้งคำสาปอุดาเตะ ทั้งความรักระหว่างฮิคารุกับฟุจิโนะ
แต่อ่านไปแล้วก็ชวนให้คิดว่าคำสาปอะไรนั่นมีจริงๆ หรือ? เพราะตัวละครแต่ละตัวก็จินตนาการกว้างไกลเสียเหลือเกิน ทั้งหมดนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คิดกันไปเองก็ได้ เหมือนที่คนทั่วไปเจออะไรที่ไม่ดีมากๆ ก็โทษโชคชะตา โทษว่าติดคำสาป แต่หากมองไปลึกๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไร แต่คิดว่าเป็นคำสาปเพราะเอาแต่มองอย่างเดียวจนละสายตาจากสิ่งอื่นๆ รอบข้างไป

สุดท้ายผู้เขียนยังฝากอะไรเล็กๆ ไว้ให้อีกด้วย
ว่าสุดท้ายก็ไม่หลงเหลืออะไรเป็นรูปธรรมอยู่บนโลก แต่ตัวตนของฮิคารุต้องคงเหลืออยู่ในบางสิ่งอีกแน่นอน
อาจต้องการคงแนวคิดเรื่องความไม่แน่นอน ความเป็นอนิจจังที่แฝงไว้ในต้นฉบับเก็นจิโมโนกาตาริก็เป็นได้

 

อย่างที่ได้บอกแล้วว่าปริศนาทุกอย่างได้รับคำเฉลยครบถ้วนในบทโรคุโจและฟุจิทสึโบะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งคล้ายจงใจค้างไว้ให้ผู้อ่านได้คิด

ตัวตนของ Rokujou มีจริงหรือไม่?

คนที่มิจิรุเห็นคือวิญญาณ Rokujou จริงๆ หรือ แล้วมาเข้าสิงเธอจริงๆ หรือ เพราะหากมองมุมกลับว่าวิญญาณของฮิคารุมีตัวตนอยู่จริง ก็ไม่น่าแปลกหาก Rokujou ซึ่งยังมีเรื่องติดค้างในใจอยู่จะเป็นวิญญาณไปเข้าสิงมิจิรุเข้า หรืออาจเป็นเพียงจินตนาการของมิจิรุ เหมือนอย่างที่จินตนาการว่าตัวเองเป็นฟุจิโนะก็เป็นได้ ผู้เขียนไม่ได้เฉลยเรื่องนี้ แต่อยู่ที่ผู้อ่านจะเลือกเชื่อทางไหนมากกว่า ถ้าหากเลือกเชื่อว่า Rokujou มีอยู่จริง เราก็เชื่อว่าสุดท้าย Rokujou ไปสู่สุขติเหมือนฮิคารุ ด้วยคำบรรยายของมิจิรุว่าตัวเองทำแล้วยังรู้สึกว่าไม่พอ มีติดค้างในใจจึงก่อเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฮิคารุเห็นเธอในโรงพยาบาลกับโฮโนกะก็เอ่ยขึ้นมาว่าที่มิจิรุยังไม่พอใจน่าจะเพราะอยากได้คำยืนยันจากปากโฮโนกะว่าคบเธอเป็นเพื่อนจริงๆ มากกว่า วิญญาณของ Rokujou ผู้โดดเดี่ยวเพราะสังหารผู้หญิงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับชายที่ตนรัก และสุดท้ายก็สังหารชายที่ตนรักด้วยอาจไม่ไปเกิดสักทีเพราะต้องการใครที่ยอมรับตนเป็นเพื่อนจริงๆ และโฮโนกะก็ให้สิ่งนั้นแก่เธอ

marker-small

เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ซื้อภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่เล่ม 1 ออกมาหมาดๆ แล้วไล่ซื้อทุกเล่มตามวันออกเลย ชอบการวางโครงเรื่องที่พลิกไปพลิกมาตลอด แต่ก็ทิ้งอะไรนิดๆ หน่อยๆ ให้คาใจเล่น (และแทบดิ้นตายเวลาจบเล่มแล้วไม่เฉลย) ของโนมุระ มิทสึกิมากจริงๆ ที่สำคัญภาษาเรื่องนี้…ภาษาดอกไม้สุดๆ สมแล้วที่โยงกับเก็นจิ (และเจ้าชายน้อยอีกนิดหน่อย) บรรยายสวยไปหมด สวยทุกอย่าง ทั้งคน ดอกไม้ ใบไม้ ท้องฟ้า จิตใจมนุษย์ ภาพอดีต ฯลฯ อ่านแล้วหลงรักตัวละครทุกตัว พรรณาได้เห็นภาพ ไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นไลท์โนเวลเบาสมองจนเกินไป ทั้งเนื้อเรื่องทั้งภาษา แต่ก็ไม่ได้เครียดมากมีแทรกมุขตลกเป็นระยะๆ

เล่ม 1-3 รู้สึกเรื่อยๆ และพล็อตซ้ำๆ ไปนิด แต่ก็พลิกล็อกแบบคาดไม่ถึงได้ตลอด

ยูน่ารักมากกกกกกกกกก ถึงตอนอยู่ในห้องจะรู้สึกว่าเปราะบางเกินไป แต่ตอนหลังๆ เห็นพัฒนาการแล้วน่ารักมากๆๆๆ ชิโอริโกะก็เดเระได้น่ารักจนโลลิคอนอ่านแล้วคงกลั้นใจตาย สึยะโกะสวยมาก…เป็นคุณพี่สาวสุดสวยแสนดี อาสะจังกับอาโอยเป็นคู่หูที่ลงตัวมาก…ขาดๆ เกินๆ คนละนิดคนหน่อยน่ารักสุดๆ โฮโนกะไม่ต้องพูดถึง นึกภาพนั่งเก้าอี้ หมุนๆๆๆ กอดหมอน หน้าแดงแล้วกรี๊ดตาม น่ารักจัง -//////- ถึงจะมโนภาพกว้างไกลไปหน่อย คิดเองเออเองตลอดตั้งแต่เล่มแรกยันบทสุดท้าย

ส่วนตัวชอบ ยู สึยะโกะ อาซาอิ และโฮโนกะมากที่สุด

ประมาณช่วงเล่ม 7-8 สักเล่มตอนมีเรื่องหลายเรื่องซ้อนๆ กันแล้วโคเรมิตสึกำลังทุกข์ใจสุดๆ พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “อยากเจอยูชะมัด” อ่านแล้วกรี๊ดกร๊าด กลิ้งไปมา
คำสั้นๆ ธรรมดามากๆ แต่โคเรมิตสึตอนท้อแท้ หมดกำลังใจ หนักๆ สิ่งที่เขาพูดคือ “อยากเจอยู” รู้สึกซึ้งบอกไม่ถูก
ยูเป็นรักแรกของเขา และเป็นผู้เยียวยาทั้งโคเรมิตสึและฮิคารุด้วยจริงๆ เหมือนเป็นคนที่แค่อยู่ด้วยก็สบายใจแล้ว ขอแค่อยู่ข้างกาย ไม่ต้องพูดอะไรกันก็ได้

ส่วนสึยะโกะ รู้สึกเหมือนเป็นพี่สาวที่เป็นผู้ใหญ่ มีเรื่องทุกข์รับไว้เอง ไม่คิดจะโทษใคร เป็นคนใจกว้างมาก สมกับเป็นชิดาเระซากุระจริงๆ
ประทับใจสึยะโกะในหลายๆ ตอน แต่ไปปิ๊งๆ มากที่สุดเอาตอนรู้ว่าโซระท้องลูกฮิคารุ คนอื่นสับสนวุ่นวายใจ อาโอยได้แต่โกรธ แต่สึยะโกะร้องไห้ด้วยความดีใจออกมาทันที
สึยะโกะรักฮิคารุ และรักแบบปรารถนาให้ฮิคารุมีความสุข ไม่ได้ปรารถนาให้ฮิคารุเป็นของตัวเอง พอรู้ว่าฮิคารุจะหลงเหลือบางอย่างไว้บนโลกจึงดีใจออกมาอย่างตรงไปตรงมา

อาซาอิ — อาสะจัง ยอมทิ้งทุกอย่าง ทั้งความฝัน ทั้งตัวตนแท้จริงเพื่อฮิคารุ ฝึกแม้กระทั่งฝึกไม่ให้ตัวเองร้องไห้เพราะฮิคารุร้องไห้ไม่ได้
เรื่องน่ารักๆ ก็อย่างเช่นทิ้งความฝันเรื่องตามหาสึจิโนะโกะและสร้างสึจิโนะโกะพาร์ค
เรียกว่าทิ้งความเป็นเด็ก ทิ้งทุกอย่างเพื่อจะได้ปกป้องและสนับสนุนฮิคารุได้ แต่ไม่รู้เกิดไปผิดพลาดตรงไหน กลายเป็นคนใจแข็งปากไม่ตรงกับใจไปซะได้

marker-small

ตอนจบจริงๆ – การเลือกของโคเรมิตสึและสาวๆ ทั้งหลาย

อ่านจากชื่อคนและเนื้อเรื่อง สาวๆ คนอื่นคือคนเกี่ยวข้องกับฮิคารุ ถึงตอนหลังจะมาชอบโคเรมิตสึก็เถอะ มีแค่โฮโนกะคนเดียวไม่เกี่ยวกับฮิคารุเลย เล่มแรกๆ ก็คิดว่าโฮโนกะคงเป็นนางเอกแหละน่า!! พอเล่มหลังๆ ชักไม่แน่ใจขึ้นเรื่อยๆ… เพราะเราเองยังเลือกไม่ได้เลยจะเลือกใคร นี่โคเรมิตสึจะเลือกได้หรือเนี่ย ภาวนานิดหน่อยว่าอย่าจบฮาเร็มเลยนะ ฉันคาดหวังในตัวนายไว้สูงนะโคเรมิตสึ! และสุดท้ายก็จบแบบล็อกตัวอย่างที่คิด โฮโนกะน่ารักมากจริงๆ เหมาะกับโคเรมิตสึมากด้วย

ส่วนอาโอยกับอาซาอิน่าสงสารนิดหน่อย แต่ปลอบใจกันเองไปก่อนนะ อาโอยจากสาวปากไม่ตรงกับใจแกล้งใจแข็งกลายเป็นคนซื่อตรงสุดๆ และไม่แกล้งแต่จิตใจเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมเยอะ ส่วนอาสะจังว่ากันตามตรงที่ในเล่ม Asagao บอกไว้ว่าอาสะจังคงไม่ได้แต่งงานอ่านจนถึงตอนนี้รู้ซึ้งเลย พลาดจากฮิคารุและโคเรมิตสึไปแล้ว ชีวิตนี้นางคงไม่แต่งงานจริงๆ… ไม่ก็ต้องภาวนาให้เจอคนอย่างโคเรมิตสึอีกคน (ฮา)

ฮิอินะ พ่อของโทโจยอมรับสักทีว่าเธอเป็นลูกสาว… ด้วยการเกลี้ยกล่อมของโทโจเอง แปลว่าโทโจ ชุนโกะ ได้รับการยอมรับและความเชื่อใจจากพ่อมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการ แค่จะช่วยเหลือในเบื้องหลังมากขึ้นเฉยๆ เพียงแค่นั้นก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้วสำหรับสองพี่น้อง

ยู กลับออสเตรเลียหลังโคเรมิตสึประกาศเลือกโฮโนกะชัดเจน น่าสงสารนะ แต่ด้วยพัฒนาการอันรวดเร็วและเสน่ห์ของเธอ มีสองหนุ่มยูกิอัตสึ เอ้ย คาสึอากิกับโทโจตามไปส่งที่สนามบิน… คงหาใหม่ได้ในอีกไม่นาน(ฮา) แต่ยูเข้มแข็งขึ้นจากตอนแรกจนประทับใจทุกครั้งที่โผล่มาในเรื่องแม้จะนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ประทับใจสุดๆ ตอนตบหน้าคาสึอากิเนี่ยแหละ อยากจะปรบมือให้เสียงดังๆ

ชีโกะจังยังอยู่บ้านอาคากิและพยายามขัดขวางความรักของโคเรมิตสึกับโฮโนกะต่อไป

มิจิรุนิสัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่คนขี้อายไม่กล้าพูด และไม่ใช่คนแอบทำอะไรลับหลัง แต่กลายเป็นคนกล้าพูดและปากเสียนิดหน่อย สนิทสนมกับโฮโนกะอาจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมักถกเถียงอะไรกันอยู่บ่อยๆ

โซระ จะไปเรียนต่อเกี่ยวกับศาสนาที่อิตาลี และยังคงทำงานอยู่โบสถ์ต่อไป

สึยะโกะ มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องระบำญี่ปุ่น ได้ไปแสดงที่ต่างประเทศ

ซาฟราน ได้เป็นเพื่อนกับคนที่เธอลอกเลียนแบบ มีเพื่อนมากขึ้น ยังคงคิดมากกับใบหน้าโดยเฉพาะจมูกของตัวเองอยู่แต่ไม่เก็บเอามาคิดจนเป็นปัญหาชีวิตแล้ว

คาสึอากิ (สาวๆ….?) ยังตามตื๊อโคเรมิตสึแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อต่อไป

ฟุจิโนะคลอดลูกอย่างยากลำบากแต่สุดท้ายก็ปลอดภัยดี หลังนำ DNA ไปตรวจตามคำสั่งภรรยาหลวงฮิโรโกะ มารดาของคาสึอากิพบว่าไม่ใช่ลูกของฮิคารุ แต่เป็นน้องชาย สร้างความยินดีให้แก่ทุกฝ่าย และทำให้ฮิคารุหมดเรื่องติดค้างในใจทั้งหมด

marker-small

เอนทรี่นี้ยาวไปมากจริงๆ ตั้งใจว่าจะเขียนแค่สครีมกรี๊ดกร๊าส่วนตัวแท้ๆ…

เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ผู้หญิงอ่านได้ ผู้ชายอ่านดี สาวๆ น่ารัก ผู้ชายก็ตลก (อ้าว) เนื้อเรื่องจริงจังแต่แทรกมุกตลกเป็นระยะ ผูกเรื่องดีและไม่ยาวมากเกินไป อย่างน้อยๆ ญี่ปุ่นก็จบแล้ว ใครซื้อฉบับไทยอ่านก็ภาวนาให้ไทยอย่าลอยแพไปซะก่อนก็แล้วกัน ขอให้ท่านโชคดี

ชูการ์ แอปเปิ้ล แฟรี่เทล: ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่น่ารัก

ปกติอ่านไลท์โนเวลค่อนข้างเยอะ

อ่านตั้งแต่ยุคแรกๆ ยมทูตสีขาวนู่นนนน เรื่อยมา

อวยเป็นบางเรื่อง เช่นโชเน็นอนเมียวจินี่อวยสุดใจ ❤❤❤
จริงๆ มีเรื่องที่ชอบหลายเรื่องอยู่นะ

ล่าสุด ซื้อมาสักพักแล้วเพิ่งได้อ่าน

ชูการ์ แอปเปิ้ล แฟรี่เทล

SugarApple_01
(ภาพปกฉบับภาษาไทยค่ะ)

เป็นนิยายแฟนตาซีโลกสมมุติ

ในโลกซึ่งคนกับภูติอยู่ร่วมกัน
ภูติมีรูปร่างลักษณะการกำเนิดและความสามารถแตกต่างกัน แต่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีปีกบางใสที่หลัง
ภูติเป็นผู้สอนมนุษย์ให้รู้วิธีสกัดน้ำตาลสีเงินจากผลชูการ์แอปเปิ้ล ได้เกล็ดน้ำตาลรสหวานอร่อย
แต่อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นใหญ่เหนือภูติ
พวกเขาเด็ดปีกของภูติออกข้างหนึ่ง ผลคือภูติจะบินไม่ได้ และหากปีกที่ขาดไปซึ่งมนุษย์ผู้เป็นเจ้านายเก็บเอาไว้ได้รับบาดเจ็บภูติจะเจ็บด้วย เพราะปีกเปรียบเสมือนหัวใจของภูติ
มนุษย์ใช้งานภูติเป็นทาสรับใช้ โดยใช้ปีกข้างหนึ่งนั้นเป็นหลักประกันว่าภูติจะทำตามคำสั่ง

แอน ฮาร์ฟอร์ด เด็กสาวอายุ 15 ปี ผอมเก้งก้าง ผมสีเหมือนฟาง จนดูเผินๆ เหมือนหุ่นไล่กา
ออกเดินทางร่อนเร่พร้อมกับมารดาผู้มีตำแหน่งเป็นถึงช่างทำน้ำตาลสีเงิน ตำแหน่งสูงสุดของช่างทำขนมหวาน มีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้นทั่วประเทศ
วันหนึ่งมารดาเธอล้มป่วยและจากไป ทำให้แอนตัดสินใจออกเดินทางต่อตามลำพังเพื่อเข้าแข่งขันให้ได้ตำแหน่งช่างทำน้ำตาลสีเงิน
และทำขนมหวานจากน้ำตาลสีเงินส่งวิญญาณให้แม่เธอผู้จากไป

แอนและมารดามีความคิดต่างจากคนอื่น
พวกเธอต่อต้านการใช้งานภูติเป็นทาสรับใช้
และเฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่งจะผูกมิตรเป็นเพื่อนกับภูติ
แต่การเดินทางคนเดียวบนเส้นทางโหดร้าย มีทั้งสัตว์ป่าและโจรชุกชุมทำให้แอนต้องกลับคำของตัวเอง
เธอตัดสินใจใช้เงินเก็บอันน้อยนิดซื้อภูตินักรบตนหนึ่งมาจากตลาดค้าภูติ
แอนไม่ออกคำสั่ง แต่ขอร้องให้ภูติตนนั้นปกป้องตนไปจนถึงที่แข่งขัน โดยให้สัญญาว่าเมื่อไปถึงจะคืนปีกให้ และเขาจะเป็นอิสระ

แชล เฟน แชล ภูติผมดำร่างสูง งดงามเสียจนผู้คนที่พบเห็นมักเข้าใจผิดว่าเป็นภูติสัตว์เลี้ยง
เขาเฝ้ารอ “คนซื่อบื้อ” สักคนมาซื้อไป เพราะหวังขโมยปีกกลับเป็นอิสระ
เฝ้าด่า พูดจาไม่ดี ปากเสีย ใส่ผู้ซื้อทั้งหลายจนไม่มีใครกล้าซื้อ
เมื่อเห็นแอน แชลตัดสินใจพูดให้เธอซื้อตนไป…
แขลมีชีวิตอยู่มานาน แต่ไม่เคยเจอใครเหมือนแอน ตอนแรกเขาตั้งใจจะขโมมยปีกคืน แต่เมื่อดูท่าทีของแอนแขลก็เปลี่ยนไป

แอนไม่ออกคำสั่งแต่ขอร้องให้เขาช่วย
แอนไม่คิดว่าเขาเป็นทาส แต่คิดว่าเป็นเพื่อนและเรียกชื่อของเขา
และแอน…สัญญาว่าจะคืนปีกให้เขาเมื่อไปถึงที่หมาย

ต่อจากนี้จะเป็นยังไงต้องไปอ่านกันเองแล้วล่ะ!
ใบ้ให้ว่าภูติที่หลงเสน่ห์แอนไม่ได้มีแต่ตนเดียวหรอกนะ
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ภูติ แต่คนที่ชอบแอนก็ใช่จะไม่มี

เนื้อเรื่องธรรมดาม๊ากกกกกกกกก มาก
ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย นิยายแฟนตาซีน่ารักกุ๊กกิ๊กธรรมดา
แต่ไม่รู้ทำไม น่ารักจัง

ถ้าใครถามเรื่องนี้เป็นยังไงก็คงตอบสั้นๆ “น่ารัก” เนี่ยแหละ คำเดียวอธิบายทุกสิ่ง
อ่านเล่มแรกจบ หยิบเล่มสองมาอ่านทันที
ก็ยังคง “น่ารัก” เหมือนเดิม _(:3」∠)_

SugarApple_02
(ภาพปกฉบับภาษาไทยเล่ม 2)

เล่มสองไม่ขอเล่าละเอียด… เพราะซื้อในงานหนังสือ ไม่รู้ออกจำหน่ายร้านทั่วไปรึยัง

เนื้อเรื่องต่อจากเล่มแรกนั่นแหละ
หลังจบการแข่งขันชิงตำแหน่งช่างทำน้ำตาลสีเงิน (ผลการแข่งเป็นยังไง กลับไปอ่านเล่ม 1 ค่ะ)
คราวนี้นางเอกของเราถังแตก!? มิหนำซ้ำยังต้องเลี้ยงภูติอีก ไหนจะอาหาร ไหนจะค่าที่พัก
เดิมทีเธอนอนกลางแจ้งค่ะ (เป็นคุณนางเอกที่ลุยสุดๆ) แต่พอเข้าหน้าหนาว หิมะตก แอนของเราก็นอนกลางแจ้งไม่ไหว
วิธีการหาเงินที่คุณภูติเสนอให้เธอก็สุดแสนจะรับได้
ขนมหวานขายได้น้อย โดนกดราคา แล้วยังโดนก่อกวนอีก
แต่ด้วยทิฐิของเธอ แม้มีคนเสนอความช่วยเหลือให้แอนก็ไม่รับ เพราะคิดว่าเรื่องของตัวเองต้องจัดการเอง
เธอได้ข่าวลือเกี่ยวกับขุนนางคนหนึ่งกำลังหาช่างที่สามารถทำขนมหวานให้เขาพอใจได้
หากเธอทำได้จะได้ค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลพร้อมทั้งชื่อเสียงซึ่งจะทำให้มีงานไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
แน่นอนแอนไม่พลาด เธอไปยังคฤหาสถ์แห่งนั้น
แต่แล้ว…. ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่นิยายสยองขวัญ…แต่เป็นนิยายแฟนตาซีน่ารักกุ๊กกิ๊ก
แอนไปทำขนมหวานนั่นแหละ
แต่ถ้าไปทำขนมเฉยๆ จะออกมาเป็นหนังสือได้ยังไง มันต้องมีอะไรตื่นเต้นสิ
ใครอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เชิญค่ะ ชูการ์ แอปเปิ้ล แฟรี่เทล เล่ม 2

marker-small

นานๆ จะเจอนิยายแบบนี้แล้วชอบสักที

ไม่มีอะไรเลย เรื่องรักๆ ฉากกุ๊กกิ๊กก็ไม่เซอร์วิสคนอ่าน
เนื้อเรื่องผจญภัยไม่มีฉากต่อสู้น่าเร้าใจ
เสียดสีสังคมแทบไม่มีสักนี๊ดดดดดด
เรื่องชวนคิดก็มีเท่าๆ หนังสือนิยายทั่วไป
ตัวละครหนุ่มหล่อก็ไม่ได้มีฉากเซอร์วิสให้สาวๆ กรี๊ด

แต่น่ารัก

とりあえず、かわいい!

อ่านแล้ววางไม่ได้ สองเล่มจบในวันเดียว

จบแล้วไม่พอเอามาเขียนบล็อกต่ออีก
เพ้อไหมล่ะ…….

อธิบายย๊ากกกยากกกว่าทำไมชอบ
แต่หนังสืออ่านง่าย เนื้อเรื่องน่ารัก ภาพประกอบสวยงาม
ใครสนใจไปหาอ่านกันดูค่ะ
น่ารักมากๆ

(เอนทรี่นี้พิมพ์คำว่าน่ารักไปกี่ครั้งแล้ว)

ถ้าถามข้อเสียของเรื่องนี้ ติมากที่สุดเรื่องนึง
เขียนถึงขนมหวานไม่น่ากินเลย

คือมันทำจากน้ำตาลสีเงินผสมสีและน้ำเย็น (วัตถุดิบมายา ไม่มีอยู่จริง)
ซึ่งบรรยายมาเหมือนน้ำตาลไอซิ่ง (555)
ตัวน้ำตาลสีเงินสกัดจากผลชูการ์แอปเปิล(ไม่มีอยู่จริงอีกแล้ว…)
ไม่มีบรรยาย ตีไข่ ผสมแป้ง เข้าเตาอบ กลิ่นหอมกรุ่น ฯลฯ ให้รู้สึกอยากกินเลยสักนิด…
อ่านไปอ่านมานึกถึงน้ำตาลปั้นหน้าโรงเรียนอีกต่างหาก… ยิ่งอ่านยิ่งเหมือนด้วยนะเอ้อ!
ไม่มีความน่ากินอยู่เลย แต่ประเด็นของเรื่องนี้ไม่ใช่ขนมนี้อร่อยหรือเปล่า
มันบอกอยู่แล้วว่ามีแต่รสหวาน และมักใช้ในงานเทศกาล

ส่วนอื่นของเรื่อง มันก็ไม่ดีไม่เสีย แต่น่ารัก (คำว่าน่ารักครั้งที่ล้านของเอนทรี่นี้ ฮะๆๆ)

marker-small2

เผื่อมีคนสงสัย

เราไม่ใช่คนแปลเรื่องนี้นะ แค่อวยส่วนตัวเฉยๆ XD

ความน่ารักไม่เข้าใครออกใคร…

Comic Essay ภาค 2

[2012.05.29]

ต่อกันภาค 2 กับ Comic Essay ของญี่ปุ่น

2 เรื่องที่จะพูดถึงในเอนทรี่นี้ เป็นสิ่งที่เรา “คิดเอาเอง” ว่ามีโอกาสจะมีเป็นภาษาไทยสูง

และหนึ่งในนั้นปัจจุบันก็มีคนประกาศลิขสิทธิ์ไปเรียบร้อยอย่างที่ได้เก็งเอาไว้ เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

เริ่มจากนี่เลย 百姓貴族 hyakushou kizoku ปัจจุบันสำนักพิมพ์ Siam inter comic ถือลิขสิทธิ์อยู่

ผู้เขียนทุกคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี Arakawa Hiromu ผู้เขียน Fullmetal Alchemist นั่นเอง

百姓貴族 ให้เราแปลภาษาไทยคงได้ออกมาเป็น ชาวไร่ศักดินา

2013.04.20 EDIT: ประกาศชื่อไทยอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว “รากหญ้าบรรดาศักดิ์” ตามรูปเลยค่ะ

อาราคาว่า เซนเซ เป็นชาวไร่ที่ฮอกไกโด มีฟาร์มวัวและทำสวนมันฝรั่ง และอื่นๆ (เขาว่างั้น)

ชีวิตก่อนจะมาเป็นนักเขียนการ์ตูนเธอช่วยงานในไร่ มีเรื่องสนุกสนานที่ไม่คาดคิดให้อ่านกัน

ที่มาของชื่อเรื่องเกิดจาก สมัยเป็นนักเขียนยังไม่ดัง แต่อาหารการกินที่บ้านหรูสุดๆ ตู้เย็นช่องแข็งเต็มไปด้วยเนื้อวัว มีนมสดส่งตรงจากบ้านทุกสัปดาห์ สมัยอยู่ฮอกไกโด ไม่ว่าจะเนื้อวัว เนื้อแกะ แซลมอน ผัก มันฮอกไกโด ไม่เคยต้องซื้ออะไรกินเลย อะไรที่บ้านตัวเองไม่มีก็เอาของไปแลกกัน!! จึงได้ชื่อเรื่องนี้มา

เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า ที่มาของภาพวัว เพราะเธอชอบวัวจริงๆ แถมอยู่กับวัวตั้งแต่เด็กจนโตด้วย

ขนาดรู้อยู่แล้ว บางทีอ่านๆ  ไปจะเผลอลืมเอาง่ายๆ ว่าอาราคาว่าเซนเซ เป็นผู้หญิงนี่น่า! ยิ่งวีรกรรมสมัยก่อนจะเป็นนักเขียนการ์ตูนแต่ละอย่าง ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ขับรถแทร็กเตอร์ตั้งแต่เด็ก ลุยงานในไร่นา ทำคลอดวัว ฯลฯ

ไม่เชิง ปวช. เพราะเป็นโรงเรียนสามัญแต่มีวิชาการเกษตรด้วย

เรียนกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช เชือดไก่ รีดนมวัว ทำหมันหมู ไปจนถึงแปรรูปอาหาร

แถมด้วยที่มาว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกมาเป็นนักเขียนการ์ตูน

จริงๆ แล้วแกอยากเรียนต่อคณะสัตวแพทย์ และอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน

ตอนแรกวางแผนไว้ว่า เรียนมหาวิทยาลัยให้จบก่อน แล้วค่อยเป็นนักเขียนหลังจากนั้นก็ได้

แต่สุดท้าย (สปอยด์) ตัดสินใจไม่เรียนต่อเพราะค่าเรียนสำหรับ 6 ปีดูจะหนักหนาเกินไปสักหน่อย

เล่มสองต่อจากเล่มแรก

เนื้อเืรื่องโดยรวมจะต่อๆ กัน

มีช่วงนึงที่สมมุติว่า ถ้าหากฮอกไกโดไม่ได้เป็นของญี่ปุ่น แต่เป็นของรัสเซียล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น

อ่านเล่มเดียวก็ได้เพราะจบในเล่ม (จริงๆ คือไม่มีเนื้อเรื่อง) แต่อ่านจบเล่มหนึ่ง ถ้ารู้ว่ามีต่อ มั่นใจว่าทุกคนที่ชอบเล่มแรกจะต้องอยากอ่านต่อ

ฟังดูไม่มีอะไรเลย แต่ยืนยันว่าสนุกจริงๆ ทั้งเรื่องราวและอารมณ์ขันของอาจารย์แกไม่ธรรมดาจริงๆ

คอมิคเรื่อง Silver Spoon ของอ.อาราคาว่า ฮิโรมุฉบับภาษาไทยเพิ่งออกวางแผนวันนี้
ใครอ่านแล้วติดใจมุกทั้งหลายในเรื่อง แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ค่ะ
อาจารย์แกนำประสบการณ์ตรงไปเขียนแน่ๆ สองเรื่องมีจุดเหมือนกันเพียบเลย อ่านต่อกันแล้วสนุกดี
ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้มาก่อน คงคิดว่า Silver Spoon แ่ต่งขึ้นจากจินตนาการซะส่วนใหญ่
แต่พออ่านเรื่องนี้ก่อนรู้เลยค่ะว่าเรื่องจริงล้วนๆ (ฮา)

ปล. แต่เพื่อนที่อ่านทั้งสองเรื่องเขาบอกว่า hyakushou kizoku สนุกกว่านะ : P

เรื่องสุดท้าย

ของนักวาดคนโปรดของเราเอง

น่าจะเดากันไม่ยาก

Koge-Donbo sensei นั่นเอง (ภาพเต็มบล็อกเลย)

ヨメさんは萌え漫画化 (Yomesan wa Moe Mangaka)

แปลไทยได้ว่า เจ้าสาวเป็นนักเขียนการ์ตูนโมเอ้

koge-donbo sensei แต่งงานกับสามี ซึ่งอยู่ในกองกำลังป้องกันตัวเอง (ประมาณทหาร)

เรื่องนี้เป็นประวัติว่า แกไปรู้จักกับสามีคนนี้ได้ยังไง กว่าจะแต่งงานเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เรื่องที่ฮือฮาเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้คือ อาจารย์โคเกะไม่ได้บอกสามีว่าเป็นนักเขียนการ์ตูน!! รู้จักกันตอนไปหาข้อมูลเขียน Naki Shoujo no tame no Pavane (Pavane Pour Une Fille Défunte บทเพลงแด่สาวน้อยผู้สิ้นชีวี ของสนพ. บงกชคอมิค) แต่ตอนไปหาข้อมูลเขาบอกว่าทำงานสำนักพิมพ์ พวกนิตยสาร มาหาข้อมูลเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก (ก็ไม่ได้โกหกเนอะ…. เขียนลงนิตยสารจริงๆ)

แล้วสุดท้ายไปสารภาพเอาตอนไหนล่ะ?

(สปอยด์) อาจารย์แกสารภาพหลังอีกฝ่ายซื้อแหวนแต่งงานไปแล้วค่ะ

สุดท้ายงานแต่งงานก็ไม่ได้ยกเลิก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะตกใจอยู่ไม่น้อย แถมหลังแต่งงานยังมีข้อเสนอให้เอาชีวิตคู่ของนักเขียนการ์ตูนกับทหารมาเขียน comic essay อีกต่างหาก (ฮา)

เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากมาย มีเรื่องเกี่ยวกับ 自衛隊 (กองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่น) และความโอตาคุของอาจารย์แกให้อ่าน ทุกคน(และเจ้าตัวเองด้วย) บอกว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้ควรชื่อว่า 新郎さんは自衛隊 (คุณเจ้าบ่าวเป็นกองกำลังป้องกันตัวเอง) เสียมากกว่า ซึ่งอาจารย์เขาอธิบายไว้ว่า ที่ตั้งชื่อแบบนั้นไม่ได้เพราะหน้าที่การงานของสามี เกิดคนที่ทำงานไปเห็นหนังสือมีคำว่า 自衛隊 แล้วซื้อมาอ่านจะแย่เอา ความลับแตก

เจ้าของบล็อกยังไม่ได้ซื้อเล่มนี้เลย = =’’ แต่ตามอ่านในเว็ปครบทุกตอนนะคะ (คิโนะคุนิยะ ไม่เอาเข้ามาขายต้องสั่ง)

แถมด้วยมี side story เพิ่มเติมอีกเล็กๆ น้อยๆ อยู่ใน 私華集2 โดจินส่วนตัวของอาจารย์ที่ออกขายในคอมิกเกะด้วย ใครซื้อเอามาให้เจ้าของบล็อกได้ยลสักครั้งนะคะ T^T

วันที่ 5 เดือน มิถุนายนนี้ จะเริ่มตอนใหม่ในเว็ปของ Eden – Mag Garden แล้วค่ะ

ใครสนใจอ่านได้ที่ http://www.mag-garden.co.jp/comiconline/EDEN.html# 

แต่ตอนเก่าๆ ไม่มีแล้วนะคะ ใครอยากอ่านต้องรีบ เพราะมีลงแค่ตอนละไม่นาน ยิ่งพอไปพิมพ์รวมเล่มแบบอ่านฟรีก็ลบออกหมด ^^;

ดูจากลิขสิทธิ์เรื่องอื่นๆ ของอาจารย์โคเกะก็เข้าไทยมาไม่น้อย

เลยเก็งว่านี่น่าจะเป็นอีกเรื่องที่มีโอกาสเ้ข้ามาพิมพ์ขาย

ขอให้มีสำนักพิมพ์สนใจพิมพ์เถ้อออออออออออออออออออออออออออออ

ไปๆ มาๆ เหมือนรีวิวหนังสือที่ยังไม่ออก =v=’

ใครอ่านแล้วสนใจเรื่องไหน อย่าลืมไปคอยเชียร์สำนักพิมพ์ไทยให้เอาเข้ามาพิมพ์นะคะ

แสงสว่างกลางทะเลลึก 光射す海

[2010.02.06]

เทอมนี้ลง gen-ed วิชา Thai Univ Read คือการอ่านระดับอุดมศึกษา

มีงานมา 1 ชิ้น คือให้เขียนแนะนำหนังสือเรื่องอะไรก็ได้ 1 เรื่อง

ลังเลว่าจะเอาเรื่องอะไรดี หรือว่าจะเอาที่เคยเขียนๆ ทิ้งไว้ก๊อบส่งดี แต่พอดีตอนจะทำเพิ่งอ่านเรื่องนี้จบ แล้วประทับใจหลายๆอย่าง เลยเอาเรื่องนี้แหละ แล้วเอามาลงบล็อกด้วยเลย

คำเตือน: เอนทรี่นี้เขียนด้วยภาษาที่เป็นทางการมาก เนื่องจากขี้เกียจมาแก้ ก๊อบงานมาแปะเอาดื้อๆ อ่านแล้วอาจจะรู้สึกขัดใจไปบ้าง โปรดทำใจ

oOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOo

เรื่อง: แสงสว่างกลางทะเลลึก
ผู้เขียน: ซุสุกิ โคจิ
ผู้แปล: น้ำทิพย์ เมธเศษฐ และ สิริพร คดชาคร
สนพ.: บลิสพับบลิชชิ่ง
จำนวนหน้า: 244 หน้า
ราคาปก: 200 บาท
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ: พ.ศ. 2552

การค้นหาความหมายของชีวิตของหญิงสาวปริศนาที่พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จจึงเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ชายที่หนีจากความจริงที่ตัวเองต้องเผชิญโดยออกเดินทางไปกับเรือประมงจับปลาทูน่า ชายอีกคนหนึ่งซึ่งพยายามฆ่าตัวตายเพราะท้อแท้จากการทำงานแต่เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อพบกับผู้หญิงที่ทำให้เขาหลงรัก นายแพทย์สาขาจิตเวชที่ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในสายตาของผู้คน และพยาบาลสาวผู้ทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ 

หากพูดชื่อ ซุสุกิ โคจิ หลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อ แต่หากบอกว่าเป็นผู้เขียนเรื่อง “ริง คำสาปมรณะ” หรือ “The Ring” เกือบทุกคนคงจะรู้สึกคุ้นเคยอย่างแน่นอน ด้วยเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้ง และการผูกเรื่องที่ชวนให้ติดตาม จนทำให้นวนิยายเรื่องริงโด่งดังไปทั่วโลก เรื่อง “แสงสว่างกลางทะเลลึก” หรือ “Hikari Sasu Umi” นี้ก็เช่นกัน ตัวละครหลายตัวที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยดำเนินชีวิตของตนเองไปพร้อมๆกัน และค้นหาตัวเองไปพร้อมๆกัน และในที่สุดทุกคนก็ค้นพบ “แสงสว่างท่ามกลางทะเลลึก” หรือแสงสว่างที่สาดส่องมาให้เห็นเส้นทางที่พวกเขาจะก้าวเดินต่อไปในชีวิต

เมื่ออ่านเรื่อง “แสงสว่างกลางทะเลลึก” ผู้อ่านจะรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนมีชีวิต มีความคิด และมีการกระทำอันเกิดจากความคิดของพวกเขาเอง การตัดสินใจของตัวละครในเรื่อง มีเหตุผล มีที่มาที่ไป และมีผลอันเกิดจากกระทำให้เห็น ทำให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่สามารถคาดเดาได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถคาดเดาเรื่องราวในอนาคตของตนเองได้ และจุดนี้เอง ทำให้แตกต่างจากนวนิยายหลายๆเรื่องที่ตัวละครเป็นตัวละครที่ทำอะไรตามแต่ผู้เขียนอยากให้ทำเพื่อให้เรื่องดำเนินไปตามที่ผู้เขียนต้องการ

เรื่องราวเริ่มต้นจากความมืด ทั้งความมืดดำภายในจิตใจของตัวละคร ความมืดมิดที่ปิดกั้นหนทางในการก้าวต่อไปของผู้คน และปริศนาที่ไม่มีใครหาคำตอบได้ ก่อนจะค่อยๆคลายปมด้วยการออกค้นหาความจริง พร้อมๆกับการออกค้นหาตัวตนของตนเองรวมถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตัวละคร แล้วความจริงของปริศนาที่ถูกเก็บงำไว้ในความมืดก็ค่อยๆเปิดเผยทีละนิดให้ทั้งผู้อ่านและตัวละครในเรื่องได้รับรู้ไปพร้อมๆกัน ก่อนจะจบลงด้วยแสงสว่างที่สาดส่องมาเป็นความหวัง กับการก้าวเดินออกจากทางอันมืดมิดสู่เส้นทางแห่งแสงสว่างโดยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต และการมีชีวิตอยู่

ซุสุกิ โคจิ แสดงภาพสังคมที่เคร่งเครียดในปัจจุบันโดยให้เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่โรงพยาบาลประสาทและจิตเวช แล้วค่อยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย เมื่อมี “แสงสว่าง” ส่องลงมา แสดงสภาพสังคมปัจจุบันที่จิตใจของผู้คนว่างเปล่า และชี้ให้เห็นความแตกต่างของคนที่อยู่ในความมืดกับคนที่อยู่ในแสงสว่าง คนที่ดำเนินชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย กับผู้ที่ค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร

เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องของ “แสงสว่างกลางทะเลลึก” นี้ ถ้าไม่อ่านเองคงจะไม่เข้าใจ แม้จะเล่าเรื่องย่อก็ขาดอรรถรสในการติดตามเนื้อเรื่อง การคลี่คลายปมปริศนา และอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาได้อย่างแยบยลและลึกซึ้ง การผูกโยงตัวละครที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นตัวแทนของผู้คนจริงๆในสังคมปัจจุบัน

  “แสงสว่างกลางทะเลลึก” จึงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ลองอ่าน และเมื่ออ่านแล้ว ลองคิดตั้งคำถามกับตัวเองดูว่าความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเราคืออะไร เราเลือกที่จะอยู่ในความมืดต่อไปหรือออกค้นหาแสงสว่าง แล้วดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย 

.

เรื่องนี้ยังไงก็ไม่อยากสปอยด์ เพราะถ้าสปอยด์ไปก็พูดไม่หมด คนอ่านสปอยด์อย่างเดียวก็ไ่ม่สนุก คนอ่านแล้วอยากไปอ่านเองก็จะทำให้เรื่องไม่สนุก เลยพยายามเลี่ยงที่จะเล่าเนื้อเรื่อง เอาเป็นว่าใครว่างๆ กำลังหาอะไรอ่าน ลองหามาอ่านดูก็แปลกดี (แต่เตือนคนที่ชอบอ่านนิยายรักว่ามันไม่ใช่เอาซะเลย ถึงเนื้อเรื่องหลักมันจะเกี่ยวกับความรักก็เถอะ)

เพื่อนทุกคนเห็นปกแล้วบอกว่าท่าทางจะเป็นหนังสือน่ากลัว แถมคนเขียนคนเดียวกับเดอะริงอีกต่างหาก ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องภูติผีปีศาจแต่อย่างใด

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วจะต้องคิดตาม แต่สุดท้ายมันก็พลิกกลับไปกลับมาแบบแกล้งคนอ่านสุดๆ คาดเดาอะไรไม่ได้ก็เป็นเหมือนชีวิตจริงที่คาดเดาอนาคตอะไรไม่ได้ ในเรื่องใช้สัญลักษณ์หลายๆอย่าง แต่อ่านเข้าใจง่าย โดยเฉพาะตอนจบเรื่องที่ผู้เขียนอยากจะให้เก็บเอาไปคิดก็เฉลยออกมาตรงๆ ไม่ต้องไปคิดเอาเองให้มากความ ส่วนนี้ทำให้ทั้งชอบและไม่ชอบ ชอบเพราะเข้าใจง่าย และทุกคนเข้าใจตรงกัน (คิดว่านะ) แต่ไม่ชอบตรงที่ว่า มันรู้สึกจะตรงไปหน่อย ไม่ได้เขียนซ่อนในเนื้อเรื่องให้แนบเนียน (ความเห็นส่วนตัว บางคนอ่้านอาจจะไม่ได้คิดแบบเราก็ได้นะ) 

oOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOoOo

เฮ้อออ ช่วงนี้มีแต่งานกับสอบ T-T

อยากจะให้จบสิ้นเร็วๆ หลับตาปิ๊งสอบเสร็จปิดเทอม หลับตาอีกปิ๊งเรียนจบรับปริญญา…….

.

ปล. สำหรับคนที่สอบวัดระดับญี่ปุ่น ได้ข้อมูลมาว่า ผลสอบวัดระดับปี่ที่ผ่านมาออกแล้ว(ทีญี่ปุ่น) ไม่รู้ว่าสนญ.จะให้ไปรับได้เมื่อไหร่